เรื่องราวของกล่องอาถรรพ์ The Dibbuk Box   Share



ก่อนจะพูดถึงตัวกล่อง เราก็ต้องเกริ่นกันก่อนว่าทำไมจึงหยิบยกของชิ้นนี้มาพูดถึง

The Dibbuk Box คือกล่องที่มีรูปร่างเหมือนกล่องเก็บไวน์ (เราอาจเรียกว่าตู้ขนาดเล็กก็ได้) ซึ่งว่ากันว่ามีปีศาจร้ายสิงอยู่ และไอ้เรื่องราวเกี่ยวกับกล่องนี้แหละที่ไปโดนใจให้ทีมผู้สร้างหนังนำเรื่องของมันมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Possession (ข่าวดีคือค่ายสหมงคล ซื้อมาแล้วครับ) ดังนั้น เราจึงควรไปรู้จักมันว่าเรื่องราวของมันเป็นมาอย่างไร

จุดที่น่าสนใจอย่างมากของ Dibbuk Box คือ มันเป็นของอาถรรพ์ไม่กี่อย่างบนโลกนี้ที่เป็นของในยุคสมัยใหม่ นั้นคือมีอายุไม่ถึง 100 ปี และยังวนเวียนอยู่ในสังคมโลกสมัยใหม่ ถึงขั้นที่ว่ามันกลายเป็นกระแสประมูลอยู่ในอินเตอร์เนทมาแล้วพักนึงเลยทีเดียว

เอาล่ะ ก่อนจะไปฟังเรื่องราว เราก็จะมาเล่าถึงตัวหนังก่อนคร่าวๆ



The Possession เป็นผลงานของผกก. ชาวเดนมาร์ก Ole Bornedal ซึ่งมีแซม ไรมี่ เป็นนายใหญ่กุมบังเหียนโปรดิวซ์ อยู่เบื้องหลัง

ตัวหนังเล่าเรื่องราวของ ไคลด์ พ่อลูกหนึ่ง รับบทโดย Jeffrey Dean Morgan (The Comedian ใน Watchmen) ซึ่งเริ่มสังเกตปฏิกริยาที่แปลกไปของลูกสาวตนเอง หลังจากที่เธอซื้อกล่องไม้โบราณที่วางขายแถวหมู่บ้าน... เด็กสาวเริ่มหลงใหลในกล่องไม้นั้น แต่ก่อนที่พวกเค้าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นคืออะไร ความสยองก็ค่อยๆคืบคลานสู่ชีวิตพวกเค้าช้าๆ และมันก็เริ่มจากการยึดครองร่างกายของเด็กสาวก่อน...



กล่องไม้ที่ว่านั้นมีชื่อเรียกว่า Dybbuk box (หรือ Dibbuk Box) เป็นกล่องที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องใส่ไวน์ทั่วไป ซึ่งไอ้กล่องนี้จริงๆแล้วมันผนึกปีศาจร้ายที่ชื่อว่า Dybbuk เอาไว้ (Dybbuk เป็นปีศาจในตำนานของชาวยิว ซึ่งมีความสามารถในการเข้าสิงมนุษย์ และเคลื่อนย้ายวิญญาณของคนตายได้ ว่ากันว่ามันหลบหนีมาจากนรก และพยายามซ่อนตัวด้วยการเข้าสิงในร่างมนุษย์ โดยคำว่า Dybbuk ในภาษาฮิบบรู แปลว่าการ"ยึดเกาะ" "แนบติด")

ถ้าใครอยากดูหนังที่ว่าด้วยปีศาจตัวนี้ ลองหาหนังเรื่อง The Unborn อีกเรื่องดูก็ได้ครับ





ซึ่ง Stephen Susco คนเขียนบทเรื่อง The Possession (ผลงานก่อนหน้าคือ Knowing) แรงบันดาลใจของเรื่องมาจากบทความนึงใน LA Times ที่เล่าว่ามีการประมูลกล่องผีสิงนี้ในเว็บอีเบย์ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวมากที่ของอันตรายๆแบบนี้มีขายอยู่ในโลกไซเบอร์....

ความคิดเห็นที่ 1

ที่มาที่ไปของ The Dibbuk Box

หมายเหตุ เราแปลมาจากหลายๆเว็บนะครับ
http://www.dibbukbox.com/index.htm
http://paranormal.lovetoknow.com/paranormal-interviews/haunted-dibbuk-box-interview
แล้วก็ใน wikipedia



ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ามันเป็นการประมวลมาจากบางส่วนของหนังสือเรื่อง The Dibbuk Box ซึ่งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ Jason Haxton เป็น คิวเรเตอร์พิพิธภัณฑ์ และมีสถานะเป็นเจ้าของกล่องอาถรรพ์นี้ในปัจจุบัน นายคนนี้เขียนเรื่องราวความเป็นมาของกล่องนี้ โดยเริ่มเล่าเท้าความไปยังเจ้าของคนก่อนหน้าที่ชื่อ Kevin Mannis ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ได้ของนี้มาจากการซื้อของมือสองครับ โดยเค้าได้ตัดตอนมาจากหน้าประมูลสินค้าที่นายเควินได้เขียนกำกับเอาไว้


เควินเล่าให้ฟังว่า เรื่องนี้เกิดในช่วงกันยายนปี 2001 ที่พอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ตัวเค้าทำงานเป็นเซลว์ขายที่ดิน และก็ได้รู้จักกับผู้หญิงคนนึงที่เอาของมาวางขาย อารมณ์แบบของเก่าโละทิ้ง เธอก็เล่าให้ฟังว่าของทั้งหมดเป็นของคุณย่าที่ชื่อ Havala ที่พึ่งเสียไป หลังจากมีอายุร่วม 103 ปี คุณย่าของเธอเป็นชาวยิว เกิดและเติบโตที่โปแลนด์ แต่แล้วในช่วงปี 1938 ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อโปแลนด์เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอและครอบครัวถูกส่งตัวไปค่ายกักกั้นนาซี สมาชิกทุกคนยกเว้นเธอถูกฆ่าในระหว่างนั้น มีเพียงเธอและเพื่อนสาวไม่กี่คนที่หลบหนีมาได้และอพยพไปอยู่สเปนจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง โดยในระหว่างหลบหนีจนมาพำนักในสเปนคุณย่าของเธอมีของติดตัวเพียงสามชิ้น ที่ต้องเอาพกติดตัวไปตลอด นั้นคือ กล่องเย็บปักถักร้อย หีบใส่ของ และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณย่าเธอหวงแหนมากๆก็คือกล่องเก็บไวน์ชิ้นนี้

นายเควินเองก็ฟังเรื่องจบก็ไม่ได้คิดอะไร เค้าตัดสินใจซื้อของบางอย่างในนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเค้าซวยมากๆที่เลือกกล่องเก็บไวน์นั้นไปด้วย โดยหญิงสาวคนขายก็บอกว่าคุณย่าเรียกกล่องนี้ว่า Dibbuk Box มันเป็นกล่องที่คุณย่าเก็บไว้ในห้องเย็บผ้า และวางไว้บนที่สูงเพื่อป้องกันไม่ให้คนหยิบลงมา คุณย่ายังกำชับเธอเสมอว่ากล่องนี้ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน และบอกเธอว่าห้ามเปิดกล่องนี้เด็ดขาด เธอเลยถามคุณย่าว่าในกล่องนี้มีอะไร คุณย่าตอบว่า Dybbuk และ Keselim ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคืออะไร
(*หมายเหตุจากผู้เขียน Dybbuk หมายถึงปีศาจ อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นของกระทู้ ส่วน Keselim เป็นภาษาตุรกีหมายถึงพระ)
และคุณย่ายังเคยพูดสั่งเสียว่าหากเจ้าตัวตายลง ขอให้ฟังกล่องนี้ลงไปในหลุมฝังศพพร้อมกับร่างของเธอด้วย แต่เพราะธรรมเนียมชาวยิวไม่นิยมทำแบบนั้น คำขอของคุณย่าเลยถูกปฏิเสธ เป็นผลให้เจ้ากล่องนี้ยังอยู่ในปัจจุบัน

นายเควินได้ฟังแบบนั้นเลยคิดว่าคุณยายคงหวงกล่องนี้มากๆเลยตัดสินใจที่จะคืนให้หญิงสาวไป แต่เธอก็ปฏิเสธ โดยอ้างว่าเค้าซื้อของไปแล้ว และต่อให้เควินจะบอกว่าไม่ต้องการเงินคืน เธอก็โวยวายไม่รับของคืนอยู่ดี ในตอนนี้เควินสังเกตได้ว่าเธอดูหงุดหงิดและฉุนเฉียวขึ้น... สุดท้ายเควินจึงนำกล่องนี้กลับไปกับเค้า โดยหวังว่าจะเอากล่องนี้ไปให้แม่เป็นของขวัญวันเกิด และเรื่องชวนขนลุกก็เริ่มต้นขึ้นจากนั้น

เควินเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์เล็กๆไว้ เค้านำกล่องไวน์ไปเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินของร้าน ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิส จากนั้นจึงออกไปทำธุระข้างนอก โดยปล่อยให้พนักงานเฝ้าร้านไว้เพียงลำพัง
ไม่ถึงชั่วโมง พนักงานก็โทรศัพท์มาหาเข้าด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกสุดขีด เธอเล่าว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในร้านอยู่ที่ชั้นใต้ดิน เธอไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่ได้ยินเพียงเสียงสบถสาปแช่ง และเสียงกระจกแตก เธอพยายามจะหนี แต่ประตูทางออกฉุกเฉิน และประตูเหล็กของร้านกลับถูกล๊อก.... เมื่อเควินได้ฟังเค้าจึงรีบโทรหาตำรวจ แต่จู่ๆแบตเตอรี่มือถือเค้าก็ดับ เค้าจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่ร้าน และพบว่าพนักงานสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่ที่มุมห้อง.... เควินทำใจกล้าเดินลงไปชั้นใต้ดิน และเค้าก้ได้กลิ่นเหมือนฉี่แมวอบอวลอยู่ข้างในนั้น ทั้งๆที่ร้านเค้าไม่มีแมวเลย เควินพยายามจะเปิดไฟ แต่มันกลับเสีย หลอดฟูออเรซเซนต์ 10 หลอด ร่วงลงมาแตกกระจายบนพื้น แน่นอนว่าเค้าไม่พบผู้บุกรุกเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีคนหลบหนีออกไป เพราะบันไดก็มีทางเดียว ครั้นเควินจะไปถามพนักงานของเค้าก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะตั้งแต่วันนั้นเธอก็ลาออกจากงาน และปฏิเสธที่จะพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก

อย่างที่ได้เล่าไปว่าเควินวางแผนจะนำกล่องไม้โบราณนี้ไปให้แม่เป็นของขวัญวันเกิด เค้าจึงตัดสินใจที่จะเปิดกล่องเพื่อทำความสะอาดมันเล็กน้อย ทันทีที่เค้าเปิดกล่อง กลไกในกล่องก็ทำงาน ประตูเล็กๆข้างในกล่องอีกชั้น และลิ้นชักเล็กๆๆค่อยเด้งออกตาม ซึ่งเควินคิดว่ามันเป็นกลไกที่ออกแบบมาได้ปราณีตมากๆ และภายในกล่องนั้น เค้าพบ เหรียญเพนนีของอเมริกาสีเหลืองอ่อนปี 1928 และของปี 1925, กระจุกผมบลอนด์ที่ถูกมัดด้วยด้าย และกระจุกผมสีน้ำตาลดำอีกหนึ่งกระจุกที่ถูกมัดไว้ด้วยด้ายเช่นกัน, แท่นหินแกรนิตที่สลักตัวอักษรและเคลือบทองคำว่า SHALOM (เป็นภาษาฮิบบรู แปลว่า ความสงบสุข), ดอกกุหลาบแห้งๆหนึ่งดอก (มันอยู่มาได้ไงเกือบ 80 ปี), จอกไวน์สีทองขนาดเล็ก และเชิงเทียนเหล็กสีดำที่มีฐานเป็นลายสลักของหนวดปลาหมึก




เควินนัดเจอกับแม่ที่ร้านของเค้าในวันที่ 31 ตุลาคม (เลือกวันดีมากๆ) เธอดูชอบตู้เก็บไวน์โบราณชิ้นนี้มากๆ หลังจากปล่อยให้แม่สำรวจตู้ไป เควินก็ออกไปคุยโทรศัพท์ แต่ไม่ถึง 5 นาที พนักงานคนใหม่ของร้านก็วิ่งออกมาหาเค้าด้วยความตกใจบอกเค้าว่าแม่มีอาการผิดปกติ - - เควินเดินไปดูแม่ของเค้า เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆกับตู้เก็บไวน์ สีหน้าของเธอแน่นิ่งปราศจากความรู้สึก ทว่ามีน้ำตาเอ่อไหลอาบแก้ม เควินพยายามพูดคุยกับแม่ แต่เธอไม่สามารถพูดได้ และร่างกายของเธอก็ขยับไม่ได้ หมอวินิจฉัยว่าร่างกายเธอบางส่วนเป็นอัมพฤกษ์ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีปฏิกริยาตอบสนองได้ เควินจึงสื่อสารกับแม่ผ่านกระดานตัวสะกด โดยให้แม่ชี้นิ้วไปที่ตัวอักษร เค้าถามแม่ว่าเมื่อวันนั้นแม่ทำอะไร และเธอก็สะกดคำว่า N-O-G-I-F-T เควินเข้าใจว่าแม่คงทวงของขวัญจากเค้า จึงบอกไปว่าเค้าได้ให้ของขวัญกับแม่แล้ว แต่แม่ก็อารมณ์เสียแล้วสะกดคำว่า H-A-T-E-G-I-F-T ชายหนุ่มหัวเราะแล้วบอกว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แล้วเค้าจะซื้อของขวัญชิ้นใหม่ให้ ถ้าแม่สัญญาว่าจะหายป่วยเร็วๆ
แน่นอนว่าเควินไม่ได้ตระหนักเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกี่ยวข้องกับกล่องไม้โบราณที่มีอายุเกือบ 80 ปีชิ้นนี้

หลังจากนั้นเควินก็ยกกล่องนี้ไปให้น้องสาว แต่เธอก็ส่งคืนหลังจากได้ไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ เธอบอกว่าประตูของตู้มันปิดไม่เข้า ทุกครั้งที่ปิดลง มันจะเปิดออกเองเสมอๆ เควินจึงยกกล่องนี้ไปให้น้องชายเค้า และภายในสามวันน้องเค้าก็ส่งมันคืน โดยเค้าอ้างว่ากล่องนี้ส่งกลิ่นประหลาดเหมือนดอกมะลิ ส่วนภรรยาของเค้าบอกว่ามันกลิ่นเหมือนฉี่แมว จนสุดท้ายเค้าก็ขายมันให้คู่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเค้าจัดการนำกล่องไม้ชิ้นนี้ออกไปจากชีวิตได้แล้ว แต่ไม่เลย... สามวันหลังจากนั้นเค้าพบกล่องไม้ชิ้นนี้วางอยู่ที่หน้าร้านเค้า พร้อมกระดาษที่เขียนข้อความสั้นๆว่า "สิ่งนี้มีความมืดอันชั่วร้าย" เมื่อเป็นเช่นนั้นเค้าจึงจำใจเอากล่องไม้กลับบ้าน
และเรื่องสยองก็เริ่มหนักขึ้น

ก่อนหน้านั้นเค้าไม่ได้นำกล่องไม้ชิ้นนี้กลับบ้าน เพราะวางไว้ที่ร้านตลอด เนื่องจากวางแผนจะให้แม่ แต่เมื่อแม่ไม่รับ เค้าจึงส่งให้คนอื่นอีก แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันนำมาคืน นี้เป็นครั้งแรกที่เค้านำมันกลับบ้านมาด้วย
ไม่นานเค้าก็เริ่มฝันร้ายซ้ำๆ ในความฝัน เค้าเดินอยู่กับใครคนนึงที่เค้าคุ้นเคย แต่เมื่อเค้าจ้องไปที่ตาของใครคนนั้น เค้าก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เหมือนกับว่าเค้าจ้องมองไปยังดวงตาของปีศาจร้ายซึ่งก็จ้องเค้ากลับมาเช่นกัน และทันใดนั้นบุคคลนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวลักษณะคล้ายหญิงแก่ที่อัปลักษณ์ ที่พยายามจะรีดเค้นเอาน้ำมันสีดำออกมาจากตัวเค้า และเมื่อเค้าสะดุ้งตื่นขึ้น เค้าก็พบกับรอยแผล รอยตำหนิเกิดขึ้นตามตัวเค้า บริเวณที่ปีศาจร้ายพยายามจะทำร้ายเค้า
แต่ถึงอย่างนั้นเควินก็ยังไม่เอะใจอยู่ดีว่าฝันร้ายนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เค้านำกล่องไม้กลับมาที่บ้าน

เวลาผ่านไปเกือบเดือน... น้องสาว น้องชายและภรรยา ก็แวะมาเยี่ยมเควินและนอนค้างคืนที่นั้น รุ่งเช้า น้องสาวเล่าว่าเมื่อคืนเธอฝันร้าย ซึ่งเป็นฝันแบบเดียวกับที่เธอเคยฝันมาก่อน เมื่อเธอเล่ารายละเอียดให้ฟัง น้องชายและภรรยาก็หน้าถอดสี เพราะพวกเค้าก็ฝันเช่นเดียวกัน และเมื่อทั้งหมดคุยกันก็สรุปได้ว่าฝันร้ายเกิดขึ้นทุกครั้งที่เค้านำกล่องไม้นี้เข้าบ้าน

หลังจากนั้น เควินก็เจอเหตุการณ์ประหลาดหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนบ้านอ้างว่าพวกเค้าพบเห็นเงาดำๆเคลื่อนไหวอยู่ภายในบ้าน เควินตัดสินใจเอากล่องไม้ไปวางไว้นอกบ้าน บริเวณโรงเก็บของ และในคืนนั้นเค้าก็ต้องตื่นขึ้นในกลางดึกเมื่ออุปกรณ์เตือนไฟไหม้ดังขึ้น เค้าลุกขึ้นไปดูแล้วก็ต้องผงะเมื่อได้กลิ่นฉี่แมวลอยฟุ้งเต็มบ้าน (ซึ่งแน่นอนว่าเค้าไม่ได้เลี้ยงแมว) เควินตัดสินใจเดินออกไปนอกบ้านแล้วหยิบกล่องไม้กลับเข้ามาจากนั้นจึงเริ่มต้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนท - - เควินหลับไปสักพัก และตื่นอีกครั้งในตอนตีสี่ ทีนี้เค้าได้กลิ่นเหมือนดอกมะลิลอยอบอวลในบ้าน ตามด้วยเสียงลมหายใจที่รดต้นคอเค้า และทันใดนั้นเค้าก็เห็นเงาดำๆวิ่งจากจุดที่เค้านั่งอยู่ ไปยังทางเดินของบ้าน

เท่านั้นแหละที่เควินตัดสินใจจะทำลายกล่องนี้เสีย (คิดได้ช้ามาก) แต่เค้าก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า หากทำลายมันลง วิญญาณร้ายจะหายไปจริงเหรอ การทำลายกล่องทิ้งอาจจะนำไปสู่เรื่องเลวร้ายมากขึ้นรึเปล่า มันคือวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ ว่าแล้วเควินก็เลยตัดสินใจไม่ทำลาย แต่ทำการขายต่อกล่องไม้นี้ผ่านทางเว็บไซตือีเบย์เอง จากการที่เค้ารู้มาว่ามีคนกลุ่มนึงในเว็บที่ชอบหาของแปลกๆมาสะสม

ซึ่งก็ปรากฎว่ามีผู้ซื้อไปครับ

แล้วจากนั้นก็ไม่ได้มีการยืนยันอะไรจาก เควิน อีกครับ เรื่องจบเท่านี้ เควินมาอัพเดตนิดหน่อยว่าหลังจากขายไปแล้ว ปลา 10 ตัวในตู้กระจกที่เค้าเลี้ยงไว้ก็ตายหมดเลย ซึ่งเค้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอาถรรพ์จากกล่องนั้นรึเปล่า....

(* มีการไปสืบเรื่องราวของหญิงชรา Havala คนที่เป็นเจ้าของกล่องเพิ่มครับ อันนี้ผมแปลจาก wikipedia นะ ซึ่งมันก็อ้างว่ามาจาก บทความหรือหนังสือชื่อ "Mystery of possessed box at caves" โดย Cheddar Valley Gazette วันที่ 10 มิถุนายน 2010 อีกที) มันเล่าว่าคุณย่า Havala ได้ทำการเรียกปีศาจ Dybbuk มายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเธอและเพื่อนๆให้รอดพ้นจากการถูกสังหารในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และเมื่อสาวๆทั้งหมดรอดพ้นจากการตามล่า พวกเธอก็ตัดสินใจผนึกปีศาจร้ายตนนี้ไว้ในกล่องนี้ครับ)


แล้วกล่องนี้ไปถึงใครบ้าง อันนี้ผมคงลำดับขั้นตอนลำบากนะ เพราะไทม์ไลน์ของเรื่องเริ่มเขว้ล่ะ แต่เข้าใจว่ามันน่าจะส่งต่อกันไปหลายคนเลย
มีคนนึงที่ซื้อไปชื่อ Iosif Neitzke เค้าก็บอกว่าตั้งได้กล่องนี้มา จู่ๆผมเค้าก็เริ่มร่วงทุกวันๆ และบ้านก็เกือบจะไฟไหม้ รวมไปถึงข้าวของต่างๆในบ้านสลับตำแหน่ง และแน่นอนว่าเค้าฝันร้ายถึงหญิงแก่อัปลักษณ์เฉกเช่นคนอื่นๆที่เคยเจอ

แต่ตอนนี้ไอ้เจ้ากล่องนี้อยู่ที่คนเขียนหนังสือเล่มนี้แหละครับ เค้าชื่อ Jason Haxton ซึ่งตามที่บอกไปเค้าเป็นคิวเรเตอร์ของพิพิธภัณฑ์ และก็เป็นคนที่สนใจเรื่องลี้ลับ ซึ่งเค้าก็ประมูลได้มันมาครอบครองเป็นคนล่าสุด

ซึ่งเวบไซต์ http://paranormal.lovetoknow.com ก็ได้ไปสัมภาษณ์เค้า
เจสันก็เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ได้กล่องนี้มา เค้าก็เริ่มฝันร้าย สุขภาพร่างกายทรุดโทรม การมองเห็นแย่ลง หายใจไม่ออก เป็นตุ่มตามตัว แล้วก็มักจะเห็นเงาดำๆลอยอยู่ในบ้าน

แน่นอนว่าทุกคนก็คงสงสัยว่า คุณมึง จะเก็บตู้ไว้ให้ปลวกกินรึไง ทำไมไม่รีบเอาออกไปจากชีวิตซะ นายเจสันก็บอกว่านับเป็นเวลา 7 ปีแล้วที่กล่องนี้อยู่ในการครอบครองของเค้าตัวเค้าเองก็เจอเรื่องแปลกๆมากมายจนชิน แต่ก็เพราะว่าเค้าสนใจเรื่องพวกนี้ เค้าเลยอยู่กับมันได้ โดยไม่พยายามทำลายขวัญตัวเองด้วยการด่วนสรุปว่าทุกอย่างเป็นเพราะกล่อง
เหตุที่เจสันคิดแบบนั้นเพราะเค้าสนใจศึกษาในในวิทยาศาสตร์ (ตัวเค้าเองมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์มากๆ) และในขณะเดียวกันก็ยังศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มแคบบาราห์ (ลัทธิที่ศึกษาคำสอนของชาวฮิบรูโบราณ) Wicca (กลุ่มผู้ศึกษาเวทย์มนต์ ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ) มันเลยทำให้เค้ามีหลักการและเหตุผลในการรับมือและวิเคราะห์กับเรื่องเหนือธรรมชาติ
เจสันยังให้มุมมองที่แตกต่างกับสิ่งของที่ใครๆก็หวาดผวาชิ้นนี้ว่า เค้าเชื่อว่าด้วยตัววัตถุเอง กล่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นของมงคล หรืออัปมงคลแต่อย่างใด มันอาจเป็นเพราะมนุษย์นี้แหละ โดยเฉพาะคนที่สร้างต้องการจะปลุกเร้าความกลัวของคนให้เกิดขึ้น และยิ่งเรากลัวเท่าไร ก็เหมือนไปสร้างพลังมืดให้กับวัตถุ ฉะนั้นเราจึงควรหยุดที่ตัวเอง ปล่อยให้มันเป็นเพียงวัตถุนึงไปก็เท่านั้น มันก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก (ไม่แน่ใจว่าสรุปความถูกไหม เลยยกมาให้นะครับ)

I believe that the box is somewhat neutral - neither evil nor good. I believe it was designed and equipped to move a person toward their innermost desire or wish. Of course, sometimes what a person wants is not always a good thing for them or others.

The Dibbuk Box moves toward understanding and exposing the truth at the smallest level. Its original acting out against its early owners and others was a way of continuing to move toward the ultimate goal of its creator. Those not willing to move it forward received stronger assaults from it until they let loose of the box so it could find someone who would fulfill its destiny and accomplish the goal or task it was given. Now the journey and its work is finished. As long as the Dibbuk Box remains contained with no one requesting anything more from it, it will stay in a neutral state.

เจสันยังกล่าวต่อไปว่า เค้าอยู่กับกล่องนี้มานาน จนนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะขาดมันไปได้อย่างไร ทุกวันนี้เค้ายังเก็บมันไว้ในลังเก็บของ ในความรู้สึกของเค้ามันก็ไม่ได้มีพิษภัยกับเค้าและครอบครัว เค้ายังกำชับกับภรรยาว่าหากเค้าตายไปช่วยฝังกล่องนี้ไปพร้อมร่างเค้าด้วย





ป.ล. ...เค้ายังได้จ้างช่างมาลงรักปิดทอง และซีลกล่องด้วยไม้อคาเชีย และทำ dibbuk box ตัวก๊อปปี้ไว้อีกด้วยนะ (คนในรูปคือช่างนะ ไม่ใช่เจสัน)
ข่าวร้ายคือบ้านของช่างที่ทำ ดันเจออาถรรพ์พายุพัดถล่ม จนต้นไม้ที่มีอายุร่วม 100 ปี ล้มลงมาทับบ้านของเค้า T^T


ซ้ายของจริง ขวาของก๊อป

ความคิดเห็นที่ 2

ถ้าเป็นบ้านเรา อารมณ์คงประมาณขังวิญญาณผีไว้ในหม้อดินลงยันต์มั้ง

ความคิดเห็นที่ 3

ได้อ่านแล้ว ยิ่งอยากดูหนังมากขึ้น แอร๊ยยยยย ยย

ปล. ขอบคุณคับ

ความคิดเห็นที่ 4

เรื่องนี้มีหนังเกรดcออกมาแล้วนะคับ เคยเช่ามาดูแต่เป็นกล่องไม้เล็ก ผีไล่ฆ่าวัยรุ่น
เรื่องใหม่นี้ไม่น่าสนใจ ฝรั่งเอะอะอะไรก็ผีเข้าผู้หญิง น่าเบื่อมากเลิกได้ละ

ความคิดเห็นที่ 5

The Unborn ชอบมากเลยครับ

หนังสนุกมากใครยังไม่ได้ดู

ไปหามาดูซะ

ความคิดเห็นที่ 6

ตัวอย่างก็น่ากลัวแล้ว แต่ก็น่าดูครับ

ความคิดเห็นที่ 7

น่าดูวววววววววววววววววววววว

the unborn ก็สนุกจริงๆ จ๊ะ

ความคิดเห็นที่ 8

หนังเล่าออกมาได้เรื่อยๆ สบายๆ สไตล์ drag me to hell

อย่าพลาดๆ สนุกดี ^^


Function Used time : 0:0:0:0