Creepypasta รวมเรื่องสั้นสยองขวัญของฝรั่ง   Share

Creepypasta เป็นเรื่องสยองขวัญ ตำนานเมืองของต่างประเทศเค้านะครับ บางเรื่องอ่านแล้วก็รู้ว่าแต่ง แต่บางเรื่องก็ยังคงเป็นปริศนาทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือแต่ง บทความสยองแนวๆนี้เวลาอ่านทีไรก็ทำให้เรากลัวจนไม่กล้าเข้าห้องน้ำคนเดียวเลยทีเดียว กระทู้นี้ผมจะรวบรวมจากเว็บอื่นๆที่คนอื่นแปลรวมถึงผมแปลด้วยนะครับ

ความคิดเห็นที่ 1

ถ้าท่านพร้อมเข้าสู่ความสยองขวัญแล้วล่ะก็
.
.
.
.

ปิดไฟ
.
.
.
.

หาหมอนมากอด
.
.
.
.

หาขนมมากิน
.
.
.
.
แล้วอ่านบทความต่อไปนี้ได้เลยครับ




ประเดิมเรื่องแรกที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ Slender man นะครับ
มันมีเว็บนึงที่ชื่อ somethingawful ที่ให้ตัดต่อภาพถ่ายผี ปีศาจ เรื่องเหนือธรรมชาติ และก็มีคนตัดต่อภาพไอตัวนี้ขึ้นมา ลักษณะของมันคือ ปกติจะเห็นเงาๆ ไม่มีคนเห็นชัด ตัวสูงๆผอมๆ ไม่มีหน้า ใส่สูทสีดำ? มีแขนยาว หนวดระโยงระยาง แล้วมันจะลักพาตัวเด็กไป อันนี้คือเนื้อเรื่องมัน ซึ่งมันอาจจะมีมากกว่านั้น
ซีรีย์Marble Hornets
เป็นซีรีย์ที่ให้อารมณ์เหมือนเป็นเรื่องจริง แต่จริงๆก็ถ่ายขึ้นมา ประมาณแบบparanormal activityหรือblair witch ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับSlendermanนี่แหละ ซึ่งการดูต้องดูคลิปในMarble hornetsไปด้วยและก็ต้องดูคลิปของTothearkไปด้วย เพราะมันจะสัมพันธ์กัน เราดูไปได้20กว่าตอนเมื่อนานมาแล้วสมัยมันมี30กว่าตอน ก็ไม่ได้ดูต่อเพราะลืม+เบื่อ ตอนนี้มี51ตอนแล้ว ลักษณะการถ่ายทำจะเหมือนถือกล้องถ่ายแบบหนังอินดี้ แต่!!ไม่ใช่แค่นั้น บางที ดูไปก็จะมีพวกนอยส์ ภาพบิดเบี้ยว จอซ่า จอแตก เสียงประหลาดๆ ที่ในเรื่องบอกว่าเป็นการที่พบเจอกับ slenderman
เรารู้จักปีศาจตัวนี้มานานแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนทุกคนจะเล่นเกม Slender กันหมดจนอาจจะพอรู้หรืออยากรู้บ้างว่าเจ้าสเลนเดอร์แมนตัวนี้มันคืออะไรแล้วโผล่มาได้ยังไงในเกม ต้องขอเล่าความเ็ป็นมาก่อน
เมื่อปี 2009 ที่เว็บนี้ได้จัดกิจกรรมแต่งภาพถ่ายธรรมดาให้เป็นขาวดำและตกแต่งให้มีสิ่งเหนือธรรมชาติภายในภาพแล้วก็สร้างตำนานเรื่องหลอกว่าสิ่งลึกลับภายในรูปนั้นมีอยู่จริง มีคนมากมายได้ร่วมกิจกรรมนี้ แต่มีอยู่รูปถ่ายของปีศาจรูปหนึ่งเป็นที่น่าสนใจกับคนในบอร์ด ภายในรูปภาพนั้นเป็นรูปกลุ่มเด็กกำลังเล่นในสวนอย่างสนุกสนาน ดูเผินๆแล้วเหมือนกับจะเป็นภาพขาวดำธรรมดา แต่หากสังเกตดีๆจะเห็นชายสูงโปร่งที่มีหนวดยืนรวมอยู่กับเด็กๆด้วยภาพตัดต่อนี้ทำให้เป็นที่สนใจหลายๆคนมาก จนผู้ตกแต่งเริ่มคิดอยากจะสร้างเจ้าสิ่งลึกลับนี้กลายเป็นตำนานไปจริงๆโดยการถ่ายหนังแบบเรื่องแบลร์วิช ซึ่งเข้าอัพโหลดลงยูทูปไว้นานแล้วอยากรู้ก็ขอให้ไปคุ้ยเอง ตั้งแต่นั้นมาสเลนเดอร์แมนจึงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มีทั้งแฟนอาร์ท หนังพาโรดี้ และถึงกับมีเกมที่ชื่อว่า Slender ซึ่งตอนนี้คนเล่นกันอย่างแพร่หลาย
รูปลักษณ์
สเลนเดอร์แมนเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่รูปร่างสูง ผิวขาวซีด ไม่มีใบหน้า ไม่มีผม ปล่อยหนวดหมึกออกมาได้(?) ซึ่งบางตำนานบอกว่าเขาสามารถเอาหนวดหมึกมาเดินแบบแมงมุมได้ด้วย รวมถึงแขนตัวเองสามารถงอกออกมาอีกได้เกือบๆสิบแขน สเลนเดอร์แมนมีชีวิตมาหลายร้อยปีตั้งแต่ยุค Madieval เกร็ตเล็กๆน้อยคือเสื้อผ้าของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามการเวลายุคสมัยได้เพื่อสร้างความหน้าเชื่อถือให้กับเหยื่อ (ในเว็บเค้าเล่าแบบนี้ แต่เราว่าเป็นเพราะรสนิยมของตัวสเลนเดอร์เองมากกว่า เพราะถึงมันแต่งตัวให้ดียังไงมันโผล่มาคนก็เผ่นหมดแหล่ะ) ในยุคแรกสเลนเดอร์แมนได้สวมชุดแบบอัสวิน เมื่อการเวลาเปลี่ยนมาถึงยุคบาร็อกหรือร็อกโคโค่ สเลนเดอร์จะสวมชุดแบบขุนนาง ดังนั้นแน่นอนว่าหากเป็นยุคปัจจุบันนั้นคือยุคนี้ ต้องเลือกเสื้อสูทมาสวมแน่นอน)

ความสามารถ

- การคลื่อนไหว
แม้จะมีขาสองข้าง แต่สเลนเดอร์พอใจกับการวาร์ปจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดนึงมากกว่า (แบบในเกม Slender)

- การล่องหน
โดยปกติเราจะไม่เห็นสเลนเดอร์นอกจากเขาจะเลือกให้เราเป็นผู้มองเห็น ซึ่งผู้ที่เห็นมักจะเป็นเหยื่อที่เขาเลือกและเตรียมใจได้เลยว่าไม่รอด ตายแน่นอน สิ่งที่ช่วยในการมองเห็นคือกล้องทุกชนิด แน่นอนว่าคุณสามารถใช้ไอโฟนส่องไปทั่วเพื่อตามหาสเลนเดอร์ได้ อ่านตรงนี้เสร็จลองทำดูก็ได้นะ

- การควบคุมจิตใจ
สเลนเดอร์มักใช้วิธีนี้กับเหยื่อที่เริ่มป่วยทางจิตและเด็ก แน่นอน เหยื่อที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารสร้างมิตรภาพคือเด็ก เมื่อตัดสินใจเลือกเหยื่อที่เป็นเด็กแล้วมันจะแสร้งปล่อยออร่าเป็นมิตรกับเด็ก และเมื่อเด็กเชื่อใจแล้วมันจะพาเด็กเดินเข้าป่าจากนั้นจึงจับกินเสีย ถึงผู้ปกครองทุกท่าน หากลูกของท่านพูดคนเดียวแล้วมาบอกว่าเพื่อนชวนไปเล่นในป่า...ก็ปล่อยให้ลูกเข้าไปในป่าคนเดียวซะ เพราะถ้าผู้ปกครองไปเห็นสเลนเดอร์ละก็จะต้องมีอันเป็นไปเช่นเดียวกับลูกคุณ

- ลอกเลียนแบบ
ถึงมันจะไม่มีปากก็เหอะ แต่สามารถลอกเลียนเสียงคนที่เรารู้จักได้ มันมักใช้วิธีนี้ล่อให้เหยื่อออกมาจากตัวบ้าน แถมลอกเลียนเสียงหัวเราะของเด็กได้ด้วย (น่ากลัวโคตร)

พฤติกรรม

- ไม่มีใครรู้วิธีเลือกเหยื่อของสเลนเดอร์ แต่มีบางตำนานกล่าวว่าสเลนเดอร์มักเลือกเด็กหรือบุคคลที่มีจิตใจเศร้าหมองและท้อแท้

- หากเหยื่อเป็นเด็กสเลนเดอร์จะแสดงที่ทีเป็นมิตรเพื่อให้เหยื่อตายใจ แต่หากเหยื่อเป็นผู้ใหญ่มันตามเหมือนเจ้ากรรมนายเวรตลอดเวลาจนเหยื่อเกิดอาการป่วยอย่างรุนแรง ซึ่งมักมีอาการเลือดกำเดาไหล ฝันร้าย เห็นภาพหลอน ฯลฯ

- มักฆ่าเหยื่อในป่า (เพราะป่าเป็นบ้านของเค้าอ่ะนะ) แต่โดยรวมแล้วฆ่าได้ทุกสถานที่

ปล. ตำนาน slenderman นี้ถือเป็นตำนานที่แต่งขึ้นมาของพวกฝรั่งเขาก็ว่าได้ บางที slenderman อาจจะอ้างอิงมาจากมนุษย์เงาก็เป็นได้
ที่มา http://www.keedkean.com/story/KK0002918.html?page_article=1

ความคิดเห็นที่ 2

เรื่องที่สอง "Jeff the killer" เรื่องนี้ก็ดังไม่แพ้กัน
ลักษณะของเขาคือ ชายผมดำ ใส่เสื้อกันหนาวสีขาว ผิวขาวซีด (ใส) กางเกงยีนสีดำ รองเท้าสีแดงขาว
ลักษณะหน้าตาคือ ตากลมโต ปากฉีกเกือบถึงใบหู เอาง่ายๆ หน้าตาน่ากลัว
เจฟฟ์นั้นเมื่อวัยเด็ก มีแผลลึกฝังใจร้ายแรง คือผมสรุปได้ว่า ไปสู้เพื่อปกป้องคนอื่น แต่ว่าโดนทำร้ายจน
ปากฉีก แถมโดนแม่โกหกหลอกหลวง ทุกคนในครอบครัวเกลียด เห็นว่าเป็นตัวประหลาด นั่นคือแผลใจ

ซึ่งเป็นตัวจุดฉนวน ให้เขากลายเป็นฆาตกร เขาเริ่มออกฆ่าคนครั้งแรก เมื่อหลังหนีออกจากบ้านได้ไม่นาน ผู้คนเรียกเขาว่า "ฆาตกรปริศนา" ซึ่งผมแปลและเรียบเรียงได้ดังนี้

หลังจากสัปดาห์ที่มี การฆาตกรรมสยองต่อเนื่องเกิดขึ้น ในรัฐๆหนึ่ง ผู้คนต่างหวาดกลัว กับฆาตกร ปริศนาดังกล่าว ตำรวจในรัฐ ได้รีบเร่งหาหลักฐานและเบาะแส เพื่อตามจับคนร้าย พวกเขาได้หลักฐานเพียงเล็กน้อย แต่ก็ได้เจอผู้รอดชีวิตรายหนึ่ง ซึ่งเขาได้ต่อสู้กับฆาตกรปริศนา อย่างกล้าหาญ

จนสามารถรอดออกมาได้ เขาจึงได้มาให้ปากคำ กับตำรวจ และเล่าเป็นเรื่องว่า
"ผมจำได้ว่า ผมตื่นนอนจากฝันร้ายในตอนกลางดึก แต่น่าแปลก ที่เหงื่อของผมไม่ไหลออกมา ผมรู้สึกว่า มีลมเย็นๆพัดเข้ามา ทั้งๆที่ผมปิดหน้าต่าง และ ไม่ได้เปิดแอร์เลย ผมรู้สึกเหนื่อย และ หนาวมาก

ผมลองหันซ้ายและขวา ไปรอบๆ ขณะที่ผมหันหน้า ผมสังเกตุเห็น สิ่งผิดปกติตรงหน้าต่าง หน้าต่าง!! หน้าต่างถูกเปิดออก ทั้งๆที่ผมปิดมัน ขณะที่ผมกำลังจะนอน ผมหัวเสียนิดหน่อย แต่ก็พยายามคิดว่า "วันนี้ลมแรง ลมอาจจะพัดจนหน้าต่างเปิดก็ได้" ทั้งๆที่ หน้าต่างนั้นเป็นบานเลื่อน ซึ่งลมไม่สามารถพัดจากด้านล่างเพื่อเปิดได้อยู่แล้ว แต่ผมก็พยายามคิด ให้ตัวเองใจเย็น ผมลุกไปปิดหน้าต่างอีกครั้ง

และกลับมานอนที่เตียง ขณะผมนอน ผมมีความรู้สึกประหลาดที่ว่า "เหมือนมีใครจ้องมองผม อยู่ตลอดเวลา" ผมนอนไม่หลับ จึงเงยหน้ามองไปตรงเพดาน ผมตกใจสุดขีด!! เมื่อมีคนบางคน เอาสายตา
อันน่าสยดสยองจ้องมองผม เขาคนนั้น เกาะอยู่ตรงช่่องแคบที่เพดาน ผมเริ่มหัวเสียหนักเข้าไปอีก

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ปากของเขาฉีกเป็นสีแดงเกือบถึงติ่งหู!! เขากระโดดลงมาตรงท้ายเตียงของผม และพูดประโยคสั้นๆว่า "Go To Sleep" เขากล่าวพร้อม "รอยยิ้มอันน่ากลัว" กล่าวจบเขากระโดดเล็งมีดที่เขาถือ มาตรงหัวใจของผม ผมหลบและพยายาม ต่อสู้กับเขา ผมรีบวิ่งไปเคาะตรงประตู หน้าห้องพ่อ
เพื่อให้พ่อช่่วย เขาตามผมมาแล้ว!! ในขณะนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อผมเปิดประตูออกมา
เขาคนนั้น ปามีดโดนไหล่พ่อของผม!! และเขาอาจจะฆ่าผมกับพ่อแล้วก็ได้ หากคนในบ้านไม่โทรแจ้งตำรวจ ผมรีบพาพ่อมายังโรงรถ เพื่อขี่รถพาพ่อไปโรงพยาบาล ขณะขี่รถออกมาจากโรงรถ
ผมเห็นชายคนดังกล่าว วิ่งไปด้วยความเร็วมากตามถนน ลักษณะของเขาคือ ผู้ชายผมดำ ผิวขาวซีด ใส่เสื้อกันหนาวสีขาว ใส่กางเกงยีนสีดำ และ ใส่รองเท้าสีแดงขาว เขาหันหน้ากลับมา พร้อมแสยะยิ้ม อันน่ากลัว ซึ่งเขาต้องกลับมาหา
ผมและครอบครัวอีกแน่ๆ!!" -------
ความสามารถของเขาคือ เป็นคนที่อึดมาก ทนพิษบาดแผลได้สบาย แปปเดียวหายจากอาการเป็นแผล
ตายยาก วิ่งเร็ว ความสามารถสูง และเป็นคน บ้าคลั่ง เสียสติ
ชื่อของมันคือ เจฟฟ์ เดอะ คิวเลอร์ อ้ากกก!!
หลังจากเล่าจบ ทุกคนในสถานีนั้นถูกฆ่าตายอย่างน่าสยอง
ถ้าใครที่มาเจอสมุดนี้ขอให้คิดว่าท่าน
ไม่มีวันหนีจากมันได้!!
ที่มา
http://www.keedkean.com/story/KK0002918.html?page_article=2

ความคิดเห็นที่ 3

เรื่องที่สาม "Eyeless Jack"
สวัสดี ผมชื่อ Mitch ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ผมเจอ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ หรืออะไรก็ตามที่พวกงี่เง่าพยายามจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาตินี้ แต่หลังจากที่ มัน มาหาผม มันทำให้ตอนนี้ผมเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแล้วหล่ะ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาผมกำลังจะย้ายไปอยู่กับพี่ชาย Edwin หลังจากที่บ้านของผมโดนยึด ในตอนที่ผมเก็บข้าวของ Edwin เห็นด้วยกับความคิดที่ผมจะไปอยู่ด้วย เพราะเราไม่ได้เจอหน้ากับมาสิบปีแล้ว ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ทันที่ที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ผมก็ผลอยหลับไป หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบมาจากข้างนอกในเช้าวันหนึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นแร็คคูน ดังนั้นผมจึงไม่สนใจและนอนต่อ เช้าวันต่อมา ผมเล่าเรื่องนี้ให้ Edwin ฟังและเขาก็เห็นด้วย ในคืนถัดมา อย่างไรก็ตาม ผมได้ยินเสียงหน้าต่างของผมเปิดตามด้วยเสียงบางอย่างดัง ราวกับว่ามีบางสิ่งเข้ามาในห้องของผม ผมพุ่งขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ ห้องของผม แต่ก็ไม่เห็นอะไร เช้าวันถัดมา Edwin วางถ้วยกาแฟลงเมื่อเขาเห็นผม เขาให้ผมดูกระจก แล้วผมก็พบแผลใหญ่บนแก้มซ้ายของผม หลังจากนั้นผมก็รีบไปโรงพยาบาล หมอบอกผมว่าผมเดินละเมิอ แต่เขาก็แสดงบางอย่างให้ผมเห็นมันทำให้เลือดผมแข็งตัว เขายกเสื้อผมจนผมมองเห็นรอยเย็บบริเวณไต ตาของผมเบิกกว้าง "ไตซ้ายของคุณหายไปในคืนที่ผ่านมา เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ขอโทษด้วยครับ Mitch" หมอบอกผม คืนถัดมาเป็นจุดแตกหักของผม ประมาณเที่ยงคืน ผมตื่นขึ้นมาพบกับสายตาที่หน้ากลัวอย่างแท้จริง ผมมองใบหน้าของ มัน ในฮูดสีดำ หน้ากากสีน้ำเงินดำที่ไม่มีจมูกหรือปาก สิ่งทีทำให้ผมกลัวคือมันไม่มีลูกตา มีเพียงความว่างเปล่า มีเหมือนสารสีดำหยดลงมาจากซ็อกเก็ต ผมรีบหยิบกล้องมาถ่าย หลังจากที่ผมได้ภาพมัน มันก็พุ่งมาที่ผมพยายามใช้กรงเล็บเปิดหน้าอกผมไปถึงปอด ผมเลยถีบเข้าที่หน้ามัน แล้ววิ่งออกจากห้อง หยิบกระเป๋าสตางค์ ผมต้องการเงิน แล้ววิ่งออกจากบ้านของพี่ในคืนนั้น ผมที่สุดสิ้นสุดในป่าใกล้บ้าน Edwin แล้วสะดุดก้อนหิน ผมหมดสติและตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล หมอเข้ามาในห้อง มีคนหนึ่งได้รับการรักษาก่อนผม "ฉันมีข่าวดี และข่าวร้าย Mitch" หมอบอก "ข่าวดีก็คือคุณได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และครอบครัวคุณกำลังมารับกลับบ้าน" ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข่าวร้ายคือ พี่ชายเธอโดนฆ่าตายด้วยบางสิ่ง เสียใจด้วยครับ" ครอบครัวผมพาผมมาบ้าน Edwin เพื่อเก็บข้าวของที่เหลือ ซึ่งผมไม่ได้ทำ เมื่อผมเข้ามาในห้องของผม ผมรู้สึกกลัว แต่ก็ยังอยู่ในความสงบ ผมเก็บกล้องของผมที่ตกอยู่บนทางเดินในห้องโถงที่ติดกับห้องของผม ผมเห็นศพของ Edwin และบางอย่างเล็กๆที่นอนอยู่ถัดไป ผมหยิบมันมาแล้วขึ้นรถของครอบครัว ไม่มีใครพูดเรื่องศพของ Edwin ผมมองดูสิ่งที่หยิบมาแล้วอาเจียนออกมา มันคือไตของผมที่โดนกินไปแล้วครึ่งหนึ่ง โดยมีของเหลวสีดำอยู่บนมัน
ที่มา http://www.fapgamer.com/forum/topic/16117

ความคิดเห็นที่ 4

เรื่องที่สี่ "Squidward ฆ่าตัวตาย"
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=rVxBKAXWcE4[/youtube]
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสควิดเวิร์ด ตัวละครในการ์ตูนSpongebob
ซึ่งเป็นคลิปของตัวละครsquidwardและในคลิปมีการพูดที่ค่อนข้างที่จะรุณแรง พูดเชิงแนว DO IT ทำสิๆๆ จนเกิดคดี แปลกๆ หรือเหตุการ์ณแปลกๆ ที่ทำให้คนร้องไห้ ตาย หรือคลุ้มคลั่ง ไปอ่านกันเลยครับผมขี้เกียจแปลแต่อยากมาให้อ่านกัน = =

ถ้าคุณอยากจะได้คำตอบจากปริศนาครั้งนี้ละก็ เตรียมตัวผิดหวังได้เลย เพราะมันยังคงเป็นปริศนาอยู่ .
ผมเป็นพนักงานฝึกหัดที่สตูดิโอ Nickelodeon เพื่อจะได้ฝึกทำ animation ไปในตัว (เขาไม่ได้จ่ายเงินให้เราแน่นอน)
ตอนนี้ฉันได้ทำงานอยู่กำพวกที่เป็นคนทำอนิเมชั่น ฉันจึงได้ดูตอนใหม่ๆก่อนใคร แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้แอบซุ่มทำ The movie ของ spongbob อยู่ แต่พวกเขาคงสมองตันหน่อย เลยทำให้ season ใหม่ delay ไปนานเลยทีเดียว
ผม กับ ผู้ร่วมงานอีก 2 คนกำลังอยู่ในห้องทำ animation คนที่ทำก็ได้ส่ง copy ของตอนต่อไปมาให้พวกเราดู มันมีชื่อตอนว่า Fear of a Krabby Patty ก็เริ่มจาก Patrick กับ Spongbob เล่นมุขอะไรไร้สาระนิดหน่อย และก็ไปเจอบัตรเชิญใบหนึ่งตกอยู่บนพื้น มันเขียนไว้ว่า "การฆ่าตัวตายของ squidman (Squidman's Suicide)" ผู้ร่วมงานอีก 2 คนขำแบบแห้งๆ แต่ผมคิดว่ามันไม่ตลกเลย มันไม่รุนแรงไปสำหรับเด็กหน่อยเหรอ ?
พอ Spongbob กับ Patrick ไปถึงหน้าที่จัดงาน Squidman ก้เริ่มเล่น Trumpet ตามด้วยตีกลองอีกนิดหน่อย และ Spongbob ก็ขำก้ากออกมา Squidman จึงตะโดนด่าใส่
แต่ จู่ๆ เทปก็ม้วนกลับไปมา จนไปโผล่ในฉากที่ทุกๆคนในห้องคอนเสิรต โห่ไล่ Squidman ทุกๆคนต่างขว่างของใส่เขา ทำให้ Squidman นั่นกลัวมาก
มันเริ่มแปลกตรงที่สายตาของทุกคนในงานคอนเสิร์ต ดูเหมือนจริงจนน่ากลัว มันน่ากลัวเกินไป ไม่สิ CG ของสมัยนี้ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่จู่ๆตาของ Squidman ก็เริ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ
ฉากมันก็ตัดไปที่ตอน Squidman นอนอยู่บนเตียงคนเดียว ดูท่าทางเขาจะสิ้นหวัง และ โดดเดี่ยวมาก และมันก็ตัดไปที่เวทีอีกครั้ง แต่ที่น่าสงสัยคือ มันไม่มีเสียง เราเห็น Squidman นั่งอยู่บนเก้าอี้บนเวที นั่งกระพริบตาอยู่อย่างนั่น 30 วินาที เขาเริ่มร้องไห้อย่างเบาๆ ร้องให้ต่อไปอีก 60 วินาที และเสียงเพลงก็ค่อยๆดังขึ้นมา เป็นเสียงของสายลมที่พัดผ่านในป่า ดูโดดเดี่ยวและวังเวงมาก
และจอก็ซุมเข้าไปที่ใบหน้าของเขา เสียงร้องไห้ของเขาเริ่มดังขึ้น และดูเหมือนจะโกรธมากด้วย หน้าจอกระตุกเล็กน้อย เสียงลมเริ่มดังขึ้น มันน่ากลัวตรงเสียงลมนี่แหละ เพราะความรู้สึกมันเหมือนกับมันค่อยๆพัดผ่านไปทั่วร่างกาย เสียงร้องไห้ของ Squidman เริ่มเปลี่ยนไป มันคล้ายเสียงของคนจริง..
แต่แล้วเทปก็ได้หมุนไปมั่วๆอีกครั้ง แต่ผมก็ได้เห็นรูปหนึ่งแว้บๆ มันเป็นรูปเด็กตาย อายุราวๆ 6 ปี หน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและโคลน ตาของเขาถูกควักไปข้างหนึ่ง ร่างกายถูกแก้ผ้า สมองนั้นถูกแยกออกมาข้างนอก
พวกเรา 3 คนพยายามยาม กดติดต่อไปยัง animater แต่มันก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่รับ กดปุ่มหยุดก็กดไม่ได้ ประตูห้องที่เราดูอยู่ก็ออกไม่ได้
แต่ฉากก็ตัดไปอีกรูปหนึ่ง เป็นรูปเด็กผู้หญิงถูกฉีกร่างเป็น 2 ส่วน แก้ผ้าอยู่ อวัยวะภายในถูกห้อยไว้ที่หน้าต่าง ฉันทนไม่ไหว จึงหันออกไปอ้วกข้างหลัง
และหน้าจอหน้าจอก็ตัดไปยังที่ squidman เขายังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่มันไม่มีเสียงอ่ะไรเลย แต่ผู้คนในงาน concert นั้น ตายทั้้งหมด บ้างถูกยิง บ้างโดนแยกเป็นส่วนๆ บ้างเลือดไหลเป็นทาง หลังจากนั้น 10 วิ เขาก็เริ่มร้องไห้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ปิดตาเอาไว้ เสียงร้องไห้ของเขา มีเสียงอ่ะไรบางอย่างปนมาอยู่ด้วย เป็นเสียงกรีดร้องแปลกๆ ผสมปนเปกัน
แต่อนิเมเตอร์ได้สั่งหยุดไว้เพียงเท่านี้ มันแปลกมาก เพราะเราสามารถหยุดคลิปได้แล้ว เราไม่มีวันลืืมเหตุการณ์นั้นเลย


หลังจากที่ผู้นำสั่งให้เราหยุด เขาได้โทรไปหาคนทำ animation ให้มาที่นี่เพื่อมาดูเทปนี้ พอเขามาถึงที่นี่ เขาก็เข้าไปดู animation กัน แต่ดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนไป หน้าจอขยายไปที่หน้าของ squidman และเขาเริ่มพูดว่า "DO IT DO IT DO IT..." อย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และในมือของ Squidman มีลูกซองอยู่ เขาจอปืนไปที่คอของเขาและลั่นไก สมองของเขากระจายออกมาเต็มหน้าจอ กระจายไปทุกๆที่ และก็จบตอนในที่สุด
Mr.Hillenburg โกรธมาก เขาถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น ? พวกเราสามคนจะไม่ดูวิดีโอนั้นอีกเป็นครั้งที่ 2 แน่ๆ มันเป็นฝันร้ายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเราเลย. . .
ที่มา http://www.fapgamer.com/forum/topic/16117

ความคิดเห็นที่ 5

เรื่องที่ห้า "suicidemouse.avi"

หมายเหตุ : หนังนี้เอาไว้อ้างอิงเท่านั้น มันไม่ใช่ของจริง Suicide Mouse หนังที่ถูกลบไปของ วอลต์ ดิสนีย์ บันทึกต้นฉบับโดย Nec1 มีใครจำพวกการ์ตูนมิกกี้เมาส์ในช่วง 1930 ไหมครับ เจ้าพวกที่ได้รับการรวบรวมแล้วออกขายไม่กี่ปีมาแล้วน่ะครับ ผมได้ยินมาว่ามีอยู่ภาคหนึ่งที่ไม่ได้ออกวางขายแม้แต่กับบรรดาแฟนๆมิกกี้เมาส์คลาสสิก จากข้อมูลที่ผมได้รับมา มันก็เป็นแค่ฟิลม์มิกกี้เมาส์เดินผ่านตึก 6 ตึกเล่นซ้ำไปเรื่อยๆ 2-3 นาทีแล้วจบ เพลงที่เล่นไม่ใช่เพลงคลาสสิกอารมณ์ดี แต่เพลงนี้ไม่ใช่เพลงด้วยซ้ำ มันเป็นเปียโนเล่นมั่วไปนาทีหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงวิทยุจนจบหนัง มันไม่ใช่มิกกี้ที่เราทุกคนชอบกัน เขาไม่ได้เต้น ไม่ได้ยิ้มด้วย แค่เดินแบบคนธรรมดา สีหน้าธรรมดาแต่ดูกังวล ก่อนปีหนึ่งหรือสองปีก่อน ใครๆคิดว่าหลังจากที่หลังตัดไปเป็นสีดำมันก็จบแค่นั้น ลีโอนาร์ด มอลติน ที่เป็นคนคัดหนังคิดกว่ามันไม่ดีพอที่จะถูกรวบรวม แต่ขอก๊อปปี้ไว้เพราะ วอลต์ ดิสนีย์ เป็นคนสร้าง เขาค้นพบว่า แท้จริงแล้วหนังนี้ยาว 9 นาที 4 วินาที แหล่งข้อมูลเลขานุการของผู้บริหารและเพื่อนของมอลตินที่เป็นเพื่อนผมอีเมล์มาว่า "หนังมืดอยู่จนถึงนาทีที่ 6 แล้วก็ตัดกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เสียงตอนนี้เป็นเสียงคน ไม่ใช่ภาษาอะไร แต่เป็นเหมือนเสียงกรีดร้องที่โดนกลบไว้ สักพักเสียงเริ่มชัดขึ้นแล้วรูปภาพก็เริ่มดูแปลกๆ ทางเดินเริ่มบิดเบี้ยวไปในทิศทางที่ผิดธรรมชาติ แล้วมิกกี้ก็เริ่มยิ้ม นาทีที่ 7 เสียงเริ่มกลายเป็นเสียงกรีดร้องแบบทรมาน เกิดภาพสีขึ้น (สมัยที่สร้างหนังยังไม่มีภาพสี) หน้าของมิกกี้เริ่มบิด ลูกตาเขาตกมาอยู่ที่แก้ม ปากเขาขึ้นสูงไปอยู่บนหน้า ตึกเริ่มลอยขึ้นเหนือพื้นส่วนทางเดินยังคงบิดเบี้ยว คุณมอลตินเริ่มรู้สึกเสียวไส้เลยให้พนักงานไปดูแทนแล้วจดทุกอย่างไว้ ส่วนเขาเองก็เก็บแผ่นต้นฉบับกลับเข้ากล่อง เสียงกรีดร้องหยุดลงในนาทีที่ 8 แล้วตัดมาเป็นหน้ามิกกี้เหมือนหนังอื่น ต่างกันตรงที่มีเพลงแปลกๆเล่นอยู่ ช่วงที่เหลือฉันก็ไม่รู้ เพราะพนักงานคนนั้นก็เลิกจดแล้วพอหนังจบเขาก็ออกมาตัวซีดแล้วพูดว่า "ความทุกข์ที่แท้จริงยังไม่ถูกพบ" 7 ครั้งแล้วก็กระชากปืนของบามแล้วยิงตัวเอง คุณมอลตินรีบเข้าไปดูแล้วก็พบอักษรรัสเซียที่แปลว่า "ภาพแห่งนรกนำผู้ดูกลับเข้ามา" เท่าที่ฉันรู้ ไม่มีใครเคยได้ดูของจริง ไฟล์ที่หลุดไปในอินเตอร์เน็ตถูกทำลายหมดและคนปล่อยก็ถูกไล่ออก ฉันได้ยินมาว่าของจริงยังคงอยู่ในอินเตอร์เน็ตในชื่อว่า suicidemouse.avi ถ้านายพบมัน ห้ามดูเด็ดขาด แล้วโทรหาฉันทันที ไม่ว่ากี่โมงก็ตาม มันถูกปิดบังไว้อย่างดี หมายความว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ตอบด้วย ทีอาร์ (TR)
ที่มา http://forum.gameindy.com/index.php?topic=5660.0

ความคิดเห็นที่ 6

เรื่องที่ 5 "เล่นซ่อนหาคนเดียว"
วิธีการเล่นซ่อนหาคนเดียว

อุปกรณ์
- ตุ๊กตา 1 ตัว (มีแขนและขา)
- ข้าวสาร (ปริมาณเพียงพอที่จะยัดใส่ตัวตุ๊กตาได้)
- เล็บที่ตัดแล้วหรือเส้นผม
- เข็มกับด้ายแดง
- ของมีคม (มีด กรรไกร หรือจะสว่านก็ได้ แต่ถ้าชอบความสาดิสแนะนำเลื่อยก็ดี)
- น้ำเกลือ 1 แก้ว (หรือ 1 ขวดก็ได้ตามกำลังทรัพย์)

การเตรียมการ
1.หาตุ๊กตามา 1 ตัวตั้งชื่อให้ตุ๊กตาแล้วเรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้งเช่น มิจิ มิจิ มิจิ
2.ทำการเฉือนเอาหนุ่นภายในตัวตุ๊กตาออก เอาออกให้หมดเลย แล้วใส่ข้าวสารลงไปแทนและเล็บหรือเส้นผมของเรา(กล่าวว่าแทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา)
3.หลังจากนั้นเย็บตุ๊กตาด้วยด้ายสีแดง ด้ายที่เหลือให้เอาไปพันตุ๊กตา(กล่าวว่าแทนเส้นเลือด)
4.ให้คิดถึงจุดที่เราจะซ่อน(และเราต้องซ่อนจุดนั้นเท่านั้น)แล้วนำน้ำเกลือไปว่างไว้

เวลาการเล่นคือตอนตี 3 ขึ้นไป พอถึงแล้วทำตามนี้
1.ปิดไฟในบ้านทุกซอกทุกมุมให้หมดเปิดแต่ทีวีที่มีช่องซ่าๆไว้
2.หันไปบอกกับตุ๊กตาว่า "ยักษ์คือฉัน" สามครั้ง(ฉันในที่นี้หมายถึงผู้เล่น) แล้วพาตุ๊กตาไปห้องอาบน้ำหรืออ่างล้างหน้า ที่เปิดน้ำจนเต็มแล้วใส่ตุ๊กตาลงไป
3.ออกมาจากที่ดังกล่าว(ห้องน้ำนั้นแหละ)ไปที่เริ่มต้น(ที่เริ่มต้นก็คือที่ที่คนหาจะต้องหลับตา)หลับตา 10 วิ
4.ถือของมีคมไปที่อ่างน้ำ(หรือที่ที่เอาตุ๊กตาไปแช่ไว้)แล้วพอว่า"เจอ(ชื่อตุ๊กตา)แล้ว" แทงตุ๊กตาหลังพูดเสร็จ เมื่อแทงเสร็จแล้วทิ้งของมีคมไว้ตรงนั้น
5.พูดว่า "ต่อไป(ชื่อตุ๊กตา)ต้องเป็นยักษ์" แล้วไปซ่อนที่ที่มีน้ำเกลือที่เราเตรียมไว้(ย้ำว่าต้องที่ที่มีน้ำเกลือที่เตรียมไว้เท่านั้นนะครับ)
6.รออีกฝ่ายมาหา(นั้นก็คือตุ๊กตานั้นเอง) ขั้นตอนทั้งหมดต้องเสร็จใน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
7.หากจะเลิกเล่นระหว่างที่ตัวเองซ่อน(หรือตุ๊กตามาเจอคุณ!!!)ให้อมน้ำเกลือไว้แล้วพ่นใส่ตุ๊กตาแล้วพูดว่า "ฉันชนะ" สามครั้ง(สามครั้งนะครับห้ามเกินห้ามขาด)
8.ตุ๊กตาที่ใช้เล่น(ไม่ว่าคุณจะรักมันแค่ไหนหรือสำคัญแค่ไหนถ้าเอามาเล่น)ให้นำมันไปเผาทิ้งซะ

ปล.ใครอยากลองก็ตามนี้เลยครับ ลองแล้วเป็นไงมาบอกกันมั้งนะครับ (ส่วนตัวไม่ได้ลองไม่กล้าพอ = = กลัวมันมาเจอแล้วกลืนน้ำเกลือลงคอมากกว่า)
ปล.2 หลังจากที่หาข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้แบบนี้ครับ

เคยมีคนทำแล้วเจอสิ่งแปลกๆเช่น
-ทีวีเปิดปิด ทีวีมีเสียงแทรกซ้อน
-ปรากฎการณ์ทางวิญญาณ พบเห็นภาพแปลกๆ
-ตำแหน่งของตุ๊กตาในขณะเลิกเล่นไม่ได้อยู่ตรงอ่างน้ำ
-มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นในจุดที่ซ่อน

แล้วก็มีคนคอมเม้นมาว่ามันเป็นตำนานของญี่ปุ่นคนต่างประเทศทำมันจะมีผลเหมือนกันหรอ (อันนี้ก็ต้องลองหรือถามกันเอาเองแล้วละครับ)
ที่มา https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=1&cad=rja&uact=8&ved=0CCwQFjAA&url=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fthaichat%2Fposts%2F528657443851121&ei=r4oaU57dCI6higeS_oHwBw&usg=AFQjCNEuk93EOnMk3MdzEktbDKlWqCAOCA&sig2=o7ueq63u_PANCUkWLRlXsA&bvm=bv.62578216,d.aGc

ความคิดเห็นที่ 7

แอร๊ยยย ตกใจรูป Jeff the killer T^T

ความคิดเห็นที่ 8

suicidemouse.avi

เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฝรั่งเค้าก็เข้าใจสร้างกระแสอะไรแปลกๆดีนะ

ความคิดเห็นที่ 9

suicidemouse.avi

เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฝรั่งเค้าก็เข้าใจสร้างกระแสอะไรแปลกๆดีนะ

ความคิดเห็นที่ 10

รออ่านเรื่องอื่นนะครับ ชอบๆ เพลินดี บางเรื่อง น่าค้นหามาก

ความคิดเห็นที่ 11

หน้าเจฟนี่มัน หลอนจริงงๆ นะครับ

ความคิดเห็นที่ 12

เดี๋ยววันนี้มาแนวๆเรื่องสั้นๆจากการจัดอันดับของคุณ Cammy นะครับ
เรื่องที่ 6 "The Suicide Portrait"
เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวเกี่ยวกับสาววัยรุ่นคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย แต่ก่อนตายเธอได้วาดภาพ (เชื่อว่าเธอวาดภาพตัวเอง) แล้วสแกนมันและโพสต์ออนไลน์
และแล้วข่าวลือนี้ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า มีการโพสต์ภาพดังกล่าวมากมายหลายเว็บ ภาพดังกล่าวเป็นผุ้หญิงหน้าตาดีที่มีดวงตาสีฟ้า และต่อมาก็มีข่าวลือน่ากลัวว่าสาวที่ฆ๋าตัวตายนั้นวิญญาณของเธอไม่ได้ไปเกิด หากแต่กลับสิงลงในรูปภาพ หากใครก็ตามจ้องมองภาพโดยเฉพาะดวงตาของเธอ คนที่จ้องหากมีความรู้สึกเศร้ารู้สึกอยากฆ่าตัวตายคล้ายกับเพลง 'Gloomy Sunday' หรือไม่ก็รู้สึกว่าภาพเคลื่อนไหว และบางข่าวลือบอกว่าหากจ้องดวงตาเธอนานมากกว่า 5 นาที คนที่จ้องจะถูกเอาชีวิตหลังจากทำแบบนี้

ใครอยากดูภาพแบบเต็มๆ ไปที่ลิงค์ด้านล่าง (ปล. เท่าที่อ่านรู้สึกจะเป็นข่าวลือขำๆ)
http://www.ethereality.info/ethereality_website/paintings_drawings/new/illustrations/melancholic_princess/melancholic_princess.htm
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 13

เรื่องที่ 7 "The Man Who Spoke With God"

Gateway of the Mindเป็นความเชื่อว่าในปี 1983 นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อในทฤษฏีแบบเคร่งศาสนาว่าสมองมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งเร้า (ประสาททั้งห้า) จะสามารถรับรู้การมีอยู่ของพระเจ้า และสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหาอาสาสมัครจนได้ชายชราคนหนึ่งที่ยินดีจะทำการทดลองนี้ เพราะเขาไม่มีอะไรค้างคาใจในโลกนี้แล้ว พวกเขาเลยปิดผนึกประสาททั้งหมดที่เชื่อมต่อไปยังสมองของชายชราคนนั้น และรอผลการทดลอง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ยิ่งกว่าฝันร้ายของลิฟคราฟท์ สองสามวันผ่านมาชายชราเริ่มพูดว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ในวันที่สี่เขาได้อ้างว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่เงียบในหัวของเขา แต่ตอนแรกนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นเพียงแค่อาการทางจิตที่เกิดจากความกังวลของมนุษย์ และในวันที่หกเขาก็ได้เริ่มพูดคุยกับภรรยาของเขาที่ตายไป

หลังจากวันเวลาผ่านไป การสนทนากับคนตายของผู้ทดลองกลายเป็นความสุขที่ไม่อยากให้ใครขัดขวาง หากเขาได้สติเขาดุด่า บอกให้ปล่อยเขาอยู่คนเดียว บ่อยครั้งที่เขาบอกให้นักวิทยาศาสตร์วางยาให้เขานอนหลับเพราะเขาเชื่อว่าได้ยินเสียงคนตายในความฝันของเขา

อย่างไรก็ตาม คนทดลองก็คลั่งกรีดร้อง เสียงของคนตายเริ่มดังชัดเจน และมีความไม่เป็นมิตรมากขึ้น พวกเขาโกรธ และเยาะเย้ย พูดเรื่องนรกและจุดสิ้นสุดของโลก เขาร้องตะโกนว่าเขาจะถูกฆ่าตาย แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเขาใกล้จะติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว หากแต่ในเวลาต่อมาผู้ทดลองเริ่มบ้าคลั่งกัดเนื้อหนังของตนเองแบบบ้าคลั่ง เหมือนกับพยายามฆ่าตัวตาย จนนักวิทยาศาสต์ต้องจับเขาผูกมัดกับเตียง และวันต่อมาชายชราก็เริ่มร้องไห้ พร้อมอ้างว่าเขาได้พบพระเจ้า เขาพูดกับพระเจ้า และเขาละทิ้งเรา และแล้วสัญญาณชีพของเขาก็หยุดลง เขาตายแล้ว
ที่มา
http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 14

เรื่องที่ 8 "The Disney Suicides"


มีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวซุกซ่อนอยู่ในดีสนีย์แลนด์ดินแดนแห่งความสุข ว่ากันว่าเป็นสถานที่ดึงดูดในการฆ่าตัวตาย ซึ่งเราได้เห็นข่าวลือเหล่านี้ในอินเทอร์เน็ตบ่อยครั้ง
มีเรื่องเล่าน่ากลัว ในปี 1999 ในขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังนั่งเรือดนตรี หากแต่ระหว่างทางจู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับ เครื่องเล่นอยู่ทำงานลง พนักงานได้บอกให้นักท่องเที่ยวออกจากเรือแล้วเดินออกไปข้างนอก และขออภัยในความผิดพลาด เมื่อนักท่องเที่ยวถามสาเหตุที่ไฟดับ แต่คำตอบที่ได้กลับคลุมเครือและนำพนักงานก็นำพวกเขาออกไปข้างนอก ระหว่างนั้นเองนักท่องเที่ยวคนหนึ่งได้ถือกล้องถ่าย และระหว่างที่เงยไปข้างบนนักท่องเที่ยวกับจับภาพหนึ่งที่น่าขนลุกมันคือเด็กที่แขวนคอตนเองห้อยจากคาน มีเรื่องเล่ากันว่าเด็กได้แขวนคอตัวเองในขณะที่ครอบครัวมีความสุขในการนั่งเรือดนตรี โดยไม่รู้ว่าฝันร้ายอยู่เหนือพวกเขา

แม้เรื่องเล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่ว่าดีย์นีย์แลนด์มักมีเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเสมอ ดังเช่นข่าวการฆ๋าตัวตายในดีย์นีย์แลนด์ที่ปารีสล่าสุด
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 15

เรื่องที่ 9 "The Staring Video"


ในปี 2008 ได้เกิดตำนานลึกลับหนึ่งในอนิเทอร์เน็ต เมื่อคลิปหนึ่งที่เรียกว่า Mereana Mordegard Glesgorv ถูกโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ต (น่าจะเป็นเว็บยูทูปก่อน) โดยคลอปที่วายาวประมาณ 2.35 เมื่อภาพเปิดมาก็พบว่าเป็นภาพหน้าจอสีดำแดง พื้นหลังก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และมีภาพชายคนหนึ่งที่จ้องมองกล้อง ราวกับเป็นภาพนิ่ง โดยไม่เคลื่อนไหว ไม่กระพริบตา หรือเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เหมือนจะเคลื่อนไหวคือความรู้สึกว่าเขายิ้มที่มุมฝีปากด้านขวามือลึกขึ้นเรื่อยๆ (พร้อมกับเสียงดนตรีประกอบที่ประหลาด) เป็นแบบนี้นานถึงจนกระทั่งจบ โดยที่คนโพสต์ไม่ได้บอกอะไรแม้แต่น้อยว่ามันคืออะไร ไม่มีคำบรรยายอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไม่ใครอธิบายจุดประสงค์ของการโพสต์ภาพ แต่หลายคนให้ความเห็นว่าหลังจากเขาจ้องคลิปนานหลายนาที เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตนเอง เขาเห็นคนในคลิปน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนคนที่มีรอยยิ้มชั่วร้าย รู้สึกเอาเอามีดมาแทงตนเองหรือคนอื่น มีความรู้สึกอยากควักลูกตาตนเอง และมีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย

(ปล. คลิปที่ว่าภายหลังพบว่าทำขึ้นมาเล่นๆ )

ดูคลิป http://www.youtube.com/watch?v=Xf6Geh82vXg
ที่มา
http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 16

เรื่องที่ 10 "Farmer John Suicide"

เป็นตำนานเมืองที่หลายคนไม่รู้จัก ที่Tuscan แอริโซน่า ที่นั้นมีโรงงานบรรจุเนื้อสัตว์แห่งหนึ่ง เรียกว่าฟาร์มจอห์น ตามตำนานท้องถิ่นเล่าว่า มีอยู่วันหนึ่ง ในปี 1964 เจ้าของฟาร์มตื่นขึ้นมาก็พบว่าเด็กทั้งสองหายตัวไป เขาและพ่อของเด็กทั้งสองของเขาได้พยายามตามหาเด็ก แต่ก็ไม่พบ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็เรียกตำรวจและก็พบเรื่องน่ากลัว เมื่อเขาพบว่าเครื่องบดเนื้อในฟาร์มเต็มไปด้วยเศษเนื้อของมนุษย์ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เนื้อมนุษย์ที่ว่าเป็นของใคร ต่อมาตำรวจได้ตั้งข้อสงสัยว่าพ่ออาจเป็นคนฆ่าเด็กทั้งสอง แต่พ่อเด็กก็ได้ฆ่าตัวตายในห้องพักของหม้อไอน้ำเสียก่อน
เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น 20 ปีต่อมา หลังเด็กทั้งสองฆ่าตัวตาย ก็มีข่าวลือมากมายในโรงงานแห่งนี้ เป็นต้นว่าลุงของเด็กทั้งสองฆ่าตัวตายในที่เดียวกับพ่อเด็กโดยที่หัวอกมีตัวอักษรสลักว่า “ผมฆ่าพวกเขา” คนงานพบเหตุการณ์หลอกหลอน เมื่อเห็นร่างคนทิ้งร่างเด็กสองคนตกลงไปในเครื่องบดทุกเดือนตุลาคม ในขณะที่วันฮาโลวีนวิญญาณของชายสองคนจะปรากฏสภาพแขวนคอในหม้อต้มน้ำและทุกวันนี้ยังมีการพบเห็นวิญญาณของพวกเขา
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 17

เรืองที่ 11 "The Japanese Suicide Film"

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และมันมีที่มา ว่ากันว่า วันที่ 10 พฤษภาคม 1932 มีสองคู่รักที่เป็นนักศึกษาญี่ปุนได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยการกระโดดลงไปในภูเขาไฟซากะทายามะ (Sakatayama) ต่อมาผู้อำนายการสร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงไฮโนะซูกิ โกโช (Heinosuke Gosho) นำเรื่องของพวกเขาไปสร้างป็นภาพยนตร์ที่ต่อมารู้จักในชื่อ “A Love That Reached Heaven” (Tengoku ni Musubu Koi) จนได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ฉายภาพยนตร์นั้น ก็มีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น เมื่อมีคู่รักหลายรายต่างจบชีวิตหลังด้วยการฆ่าตัวตายเลียนแบบดูภาพยนตร์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ดื่มยาพิษในระหว่างฉายภาพยนต์ตอนถึงฉากคู่รักในเรื่องฆ่าตัวตาย ต่อมาก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งปีนภูเขาไฟซากะทายามะ ในเกาะโอชิมะและกระโดดฆ่าตัวตาย ว่ากันว่าภูเขาไฟแห่งนั้นมีหนุ่มสาวจบชีวิตถึง 944 คน ซึ่งจำนวนนี้เป็นเพียงข่าวลือที่อาจไม่เป็นจริง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าบางครั้งภาพยนตร์ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนเหมือนกัน
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 18

เรื่องที่ 12 "The Smiling Dog&"

หากคุณพิมพ์คำว่า “Smile.jpg ” ลงไปในกูเกิล แล้วเปิดค้นหาภาพ จะพบภาพที่น่ากลัวที่เรียกว่า “หมายิ้ม” มันเป็น-ภาพโพลารอยด์ ไม่ชัด ที่มุมด้านขวาสุนัขไซบีเรียนฮัสกำลังเหมือนยิ้ม แน่นอนว่ามันแล้วมันน่ากลัว แต่อย่างไรก็ตามมันมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้นซุกซ่อนอยู่
ตำนานได้เริ่มต้นข้นในปี 1990 ที่ไม่ทราย ว่ากันว่ามาจากนักศึกษาวิทยาลับคนหนึ่งได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคประสาทที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะเห็นภาพสุนัขดังกล่าวแล้วเก็บไปฝันร้ายตลอด ในฝันยังบอกให้เธอเผยแพร่ให้ภายคนอื่นดูด้วย และนั้นเองทำให้นักศึกษาจำเป็นต้องโพสต์ภาพลงในอินเทอร์เน็ต โดยแนบเอาไว้ในเรื่องที่เขาพูดถึง

ภาพนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Smile.jpg แพร่กระจายในเน็ต โดยกล่าวอ้างว่าภาพนี้ทำให้คนทำให้เกิดโรคลมชักลึกลับขึ้น มีผู้เคราะห์ร้ายมากมายที่เห็นภาพดังกล่าว แน่นอนว่าหากมองแบบผ่านๆ เหมือนสุนัขไซบีเรียนฮัสยิ้มธรรมดา แต่หลายคนเชื่อว่ามีอะไรมากกว่านั้น และภายหลังก็พบว่ามันเป็นภาพนี้มีภาพซ้อนอีกภาพซึ่งเป็นภาพของปีศาจครึ่งสุนัขยิ้ม อย่างน่ากลัว (คลิปข้างล่างเป็นภาพสุนัขที่มีภาพซ้อนซ่อนอยู่ โดยภาพซอนที่แท้จริงแล้วเป็นภาพปีศาจที่น่าขนหัวลุก) หลายคนที่ได้ดูอ้างว่าหลังจากดูภาพดังกล่าวรู้สึกหลอนมาก แถมยังทำให้ฝันร้ายอีกตางหาก และเชื่อว่าหากใครดูมากเกินไปอาจฆ่าตัวตายได้
คลิป http://www.youtube.com/watch?v=35cJcBdf3V0
ใครขี้เกียจฟังก็เชิญดูหน้าที่แท้จริงได้เลยครับ (คำเตือน: โปรดทำใจ เตรียมใจก่อนคลิก) http://i1.ytimg.com/vi/35cJcBdf3V0/maxresdefault.jpg
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 19

เรื่องที่ 13 "The Smiling Man"

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญของฝรั่งจากเว็บ Creepypasta Wiki เล่าคร่าวๆ ว่า ที่เมืองใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา มีพยานหนึ่งได้เล่าว่า วันหนึ่งในขณะที่เขาออกจากบ้านตอนดึก เดินบนถนนที่ร้างคนอยู่นั้น เขาก็พบชายคนหนึ่งที่ “เต้น” บนทางเท้า เขาเดินด้วยท่าทางแปลกๆ คล้ายกับวอลซ์ แล้วก็เต้นมุ่งหน้ามาทางเขา
ตอนแรกชายคนนั้นคิดว่าคนเต้นอาจเขา เมื่อคนเต้นเข้ามาใกล้ๆ เขาก็พบว่าเขาตัวสูง สวมสุดเก่า และเมื่อชายเต้นใกล้เขา ก็ได้เห็นใบหน้าชายเต้นชัดเจน ดวงตาของเขาเปิดกว้าง ดูดุร้าย หัวเอียงด้านหลัง เล็กน้อย จ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ปากของชายเต้นยิ้มกว้างมากราวกับเหมือนการ์ตูน แต่รอยยิ้มแฝงไปด้วยความเจ็บปวดจนดูเหมือนคนบ้าสติแตกได้ที่

เมื่อเขาเห็นชายยิ้มก็รู้สึกใจไม่ดี เขาจึงเดินผ่านชายยิ้มแบบไม่สนใจ และเมื่อเขาย้อนกลับไป เขาก็พบชายยิ้มหายไป หากแต่เมื่อเขาเดินอีกสักพักเขาก็หันมาดูข้างหลังอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นชายยิ้มอีกครั้ง เขาวิ่งเขย่งราวกับตัวการ์ตูน แต่ก็รวดเร็วจนน่ากลัวมาก ด้วยความตกใจเขาจึงวิ่งหนีชายยิ้มแบบไม่คิดชีวิต ในขณะที่วิ่งชายยิ้มยังมองไปที่ท้องฟ้า และมีเสียงครวญคราง

จนกระทั่งเขาวิ่งมาถึงถนนที่มีการจราจรเบาบาง และมีแสงไฟส่อง เขาก็พบชายยิ้มหายไปแล้ว และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ออกไปเดินเล่นอีกเลย เพราะประสบการณ์ที่น่าขนลุกดังกล่าว
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=609

ความคิดเห็นที่ 20

เรื่องที่ 14 "Lavender Town Syndrome"


กลับมาในปี 1996 โปเกมอนเวอร์ชั่นเรด (สีแดง) และกรีน (สีเขียว ของเวอร์ชั่นเกมบอยกำลังโด่งดังไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามไม่นานก็เกิดตำนานเมืองน่ากลัวมาอย่างหนึ่ง
ที่ประเทศญี่ปุ่นมีข่าวลือน่ากลัวว่ามีเด็กหลายรายล้มเจ็บป่วยและฆ่าตัวตาย ที่น่าสนใจคือเด็กส่วนใหญ่อยู่ในวัย 7-12 ปีที่ไม่มีประวัติการเจ็บป่วยทางจิตใดๆ มาก่อน จนกระทั่งพวกเขาเล่นเกมโปเกมอนในฉากถึงเมืองลาเวนเดอร์ ซึ่งเป็นเมืองผีสิงในเกม โดยเชื่อว่าเสียงดนตรีประกอบในเกมที่เป็นที่มาของหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บลึกลับ เพราะเสียงแหลมแปลกประหลาดของเพลงทำให้เด็กเกิดอาการปวดหัวคลื่นไส้ มีแนวโน้มที่อยากฆ่าตัว ซึ่งต่อมาทางผ่ายผลิตได้มีการเปลี่ยนแปลงเพลงประกอบของเมืองลาเวนเดอร์ก่อนที่จะถูกส่งไปขายต่างประเทศ (ในเวอร์ชั่นอังกฤษ) ส่วนลิงค์ล่างเป็นเพลงเวอร์ชั่นดังเดิม

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=-sOadAaGiq4#t=13
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=587

ความคิดเห็นที่ 21

เรื่องที่ 15 "Tomino Hell"

“โทมิโนะ” หรือ “นรกของโทมิโนะ” เป็นตำนานเมืองญี่ปุ่น ที่เป็นบทกวี ที่ว่ากันว่าใครที่อ่านออกเสียงหรือท่องออกมาดังๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้สึกเกิดอาการป่วยหรือทำร้ายตนเอง อุบัติเหตุ และที่เลวร้ายที่สุดคือตาย คลิปข้างล่างเป็นบทกวีที่ว่า (แต่เป็นโปรแกรมเสียงเพราะไม่มีใครกล้าที่อ่านออกเสียง) แม้ไม่ได้อ่านออกเสียง หรือฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ความรู้สึกแล้วมันน่ากลัว จนไม่กล้าจะอ่านออกเสียงตามเลยก็ว่าได้ ที่มาของบทกวีนี้แต่งโดยโยโมตะ อินุฮิโกะที่แต่งเล่าเรื่องราวของโทมิโนะ ที่ตายเพราะโดดเดี่ยวและตกนรก นรกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน และความโดดเดี่ยว (รายละเอียดแปลบทกวีดูที่ http://muzict.exteen.com/20121025/entry) มีข่าวลือจากคอมเม้นในยูทูปว่ามีชายคนหนึ่งอ่านออกเสียงบทกวีโทมิโนะ ปรากฏว่าเวลาต่อมาเขาอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั้นทำให้เขาเชื่อว่าบทกวีโทมิโนะนั้นมีคำสาป
บทกวีดังกล่าวแปลนะครับ ที่มา http://muzict.exteen.com/20121025/entry
トミノの地獄 tomino no jigoku

姉は血を吐く、妹(いもと)は火吐く、
ane wa chi wo haku, imoto wa hi haku,


可愛いトミノは宝玉(たま)を吐く。
kawaii tomino wa tama wo haku.

ひとり地獄に落ちゆくトミノ、
hitori jigoku ni ochiyuku tomino,

地獄くらやみ花も無き。
jigoku kurayami hana mo naki.

鞭(むち)で叩くはトミノの姉か、
muchi de tataku wa tomino no aneka,

鞭の朱総(しゅぶさ)が気にかかる。
muchi no shubusa ga ki ni kakaru.

叩けや叩きやれ叩かずとても、
tatake yatataki yare tataka zutotemo,

無間(むげん)地獄はひとつみち。
mugen jigoku wa hitotsu michi.

暗い地獄へ案内(あない)をたのむ、
kurai jigoku e anai wo tanomu,

金の羊に、鶯に。
kane no hitsu ni, uguisu ni.

皮の嚢(ふくろ)にやいくらほど入れよ、
kawa no fukuro ni yaikura hodoireyo,

無間地獄の旅支度。
mugen jigoku no tabishitaku.

春が来て候(そろ)林に谿(たに)に、
haru ga kitesoru hayashi ni tani ni,

暗い地獄谷七曲り。
kurai jigoku tanina namagari.

籠にや鶯、車にや羊、
kagoni yauguisu, kuruma ni yahitsuji,

可愛いトミノの眼にや涙。
kawaii tomino no me niya namida.

啼けよ、鶯、林の雨に
nakeyo, uguisu, hayashi no ame ni

妹恋しと声かぎり。
imouto koishi to koe ga giri.

啼けば反響(こだま)が地獄にひびき、
nakeba kodama ga jigoku ni hibiki,

狐牡丹の花がさく。
kitsunebotan no hana ga saku.

地獄七山七谿めぐる、
jigoku nanayama nanatani meguru,

可愛いトミノのひとり旅。
kawaii tomino no hitoritabi.

地獄ござらばもて来てたもれ、
jigoku gozarabamo de kitetamore,

針の御山(おやま)の留針(とめばり)を。
hari no oyama no tomebari wo.

赤い留針だてにはささぬ、
akai tomehari date niwa sasanu,

可愛いトミノのめじるしに。
kawaii tomino no mejirushini.

"พี่สาวสำรอกเป็นเลือด น้องสาวสำรอกเป็นไฟ
โทมิโนะผู้น่ารักสำรอกเป็นเพชรเลอค่า
โทมิโนะตายอย่างโดดเดี่ยวและตกนรกหมกไหม้
นรก, มืดมิด, ไร้ดอกไม้
นั่นใช่พี่สาวของโทมิโนะหรือเปล่าที่กำลังถูกเฆี่ยนโบย
รอยแผลที่ถูกเฆี่ยนช่างมากมายจนน่ากลัว
เฆี่ยนตีอย่างไม่หยุดยั้ง
เส้นทางไปสู่นรกอันไร้ที่สิ้นสุดมีเพียงทางเดียว
ไถ่ถามเพื่อหาหนทางสู่ความมืดมิดของนรก
จากแกะทองคำและนกไนติงเกล
ในกระเป๋าหนังใบนี้เหลืออยู่เท่าไหร่นะ
เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดสู่นรก
ใบไม้ผลิมาเยือน อยู่ในป่าลึกและหุบเขา
ทางโค้งเจ็ดทางในหุบเหวมืดมิดแห่งนรก
นกไนติงเกลอยู่ในกรง แกะอยู่บนเกวียณลาก
ในดวงตาสดใสของโทมิโนะคือน้ำตา
ร้องออกมาเถอะ นกไนติงเกล เพื่อป่าไม้และสายฝน
ส่งเสียงออกไปเพื่อน้องสาวอันเป็นที่รัก
เสียงร่ำไห้ของเธอสะท้อนผ่านขุมนรก
และดอกไม้สีเลือดก็บานออกมาจากภูเขาทั้งเจ็ดและขุมนรก
โทมิโนะผู้น่ารักเดินทางตัวคนเดียว
เพื่อต้อนรับเธอสู่นรกแห่งนี้
แสงสลัวจากหนามแหลมคมของภูเขาสูงชัน
ทิ่มแทงจากผิวเนื้อสู่ผิวเนื้อ
ราวกับตัวโทมิโนะ"
คลิป http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=s4e3PbNGeCE#t=55
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=587

ความคิดเห็นที่ 22

เรื่องที่ 16 "the grifter"
The Grifter (คนหลอกลวง?) เป็นตำนานเมืองที่ได้รับความนิยมบนอินเทอร์เน็ตเมื่อปี 2009 เนื้อหาวีดีโอดังกล่าวถึงบันทึกเอาไว้ในช่วงทศวรรษที่ 1930โดยวีดีโอดังกล่าวเป็นภาพมืดๆ ภาพเหมือนคนเดินในบ้านร้าง สลับกับภาพที่เต็มไปด้วยภาพน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นคนถูกทรมานและถูกฆ่าตาย อ่างน้ำที่เต็มไปด้วยหนอน และยังมีภาพตุ๊กตาประหลาดปรากฏตัวเป็นระยะ พร้อมเสียงรบกวน รวมไปถึงช่วงท้ายของวีดีโอที่มีภาพเด็กทารกและพิธีกรรมนรกที่น่ากลัว กล่าวกันว่าผู้ชมภาพยนตร์สั้นนี้จะเกิดอาการคลื่นไส้ ฝันร้าย จนเป็นถึงโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายเลยทีเดียว
ในข้อความตอนท้ายของวีดีโอได้ปรากฏข้อความว่า “เด็ก (ตอนนี้เป็นชายหนุ่มแล้ว) นี้ยังคงชีวิตอยู่และอาศัยในที่หลบภัยที่ไหนสักแห่งที่ไม่เปิดเผย เขาไม่เคยพูดและมีอาการทางจิต”

ไม่ทราบที่มาของวีดีโอนี้แน่ชัด บางคนบอกว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ภาพดังกล่าวน่าจะมาจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งแล้วมาบอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่อย่างไรก็ตามวีดีโอดังกล่าวก็กลายเป็นวีดีโอประหลาดน่ากลัวอีกเรื่องหนึ่งในช่วงหนึ่งของอินเทอร์เน็ต

คลิป http://www.youtube.com/watch?v=koBdTGu58Wc
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=554

ความคิดเห็นที่ 23

เรื่องที่ 17 "Satan’s Sphinx"


ซาตานลี้ลับ เป็นวีดีโอในตำนานเมืองที่กล่าวกันว่าใครที่ได้ดูจะเกิดอาการจิตตกอย่างรุนแรง ถึงขั้นวิกลจริต ไม่ก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนแรกมันได้ทำการอัฟโหลดในอินเทอร์เน็ตในปี 2006 โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อทดสอบปฏิกริยาของมนุษย์ที่ตอบสนองกับภาพความรุนแรง บ้าวก็ว่าเป็นจิตนาการของใครบางคนที่สร้างขึ้นมาเพื่อลงเว็บ Creepypasta(เว็ปรวมเรื่องสยองหลอนจิตของฝรั่ง และไม่นานที่ปล่อยคลิปก็มีปัญหาวุ่นวายตามมาจนยากที่จะควบคุม
ตำนานเมืองได้พูดถึงวีดีโอซาตานลี้ลับนั้นมีเสียงแหลมสูงทำให้เกิดการระคายเคืองแก่ผู้ชม นอกจากนี้ยังมีภาพเลือดสาด ความตายและการฆาตกรรมปรากฏอย่างต่อเนื่องผ่านหน้าจอ ภาพเปลี่ยนหมุนอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถแยกเป็นรายบุคคลได้ และ ณ จุดouhจะได้ยินเสียงและหน้าจอเริ่มกะพริบ คนชมเกิดอาการวิงเวียน แต่ก็ไม่อยากละสายจากภาพวีดีโอ และเมื่อถึงช่วง 3.49 ก็จะทำให้เกิดอาการซึมและนอนไม่หลับ

ต่อมาคลิปนี้เป็นสิ่งต้องห้ามโดยรัฐบาลสหรัฐ และถูกลบจนแกล้งในอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครทราบว่าเนื้อหาของวีดีโอนั้นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้คือบางทีภาพทั้งหมดในวีดีโออาจมาจากที่อื่นๆ โดยมีภาพหนึ่งคือเป็นภาพเด็กที่หวาดกลัวถูกจับโดยคนสองคนที่สวมหน้ากากแปลกนั้นมาจากปกอัลบั้มเทป Hellhorse's "Decade of Dust" และยังมีตำนานเมืองอีกเวอร์ชั่นว่ามีบางช่วงจะเห็นตัวเราเองในวีดีโอดังกล่าว จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครทราบว่าจุดประสงค์ของวีดีโอนี้คืออะไร ที่มามันคืออะไรกันแน่ หากใครที่พยายามสืบหาวีดีโอนี้จะถูกจำคุก 50 ปีในคุกที่มีรักษาความปลอดภัยสูงสุด!!
ที่มา http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=554

ความคิดเห็นที่ 24

คุณเอาแหล่งอ่างอิงเล่นซ่อนหาคนเดี่ยวไปใสในslendermanอะ

ความคิดเห็นที่ 25

แก้ไขแล้วครับขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ 26

อยากอ่านอีกจังค่ะๆๆๆ ขอบร้องชอบมากกก ๆ >_<

ความคิดเห็นที่ 27

Squidwardแหล่งอ้างอิงมันซ้ำกับeyeless jackอะ

ความคิดเห็นที่ 28

เรื่องที่ 18 &quot;username666&quot;

Username 666 (รู้จักกันในชื่อ sm666 ในเว็บ nico nico (เหมือน youtube ของคนญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นวีดีโอของ nana825763 ในวีดีโอแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราค้นหาชื่อผู้ใช้ 666 ใน youtube แล้วกดรีเฟรซหลายๆครั้งเรื่องนี้ยังมีข่าวลือย่อยๆอีก อย่างเช่น username 666 นั้นจะมีไวรัสที่จะเปลี่ยนตัวอักษรทุกตัวเป็นเลขหกทั้งหมด และยังมีเว็บไซต์ปลอมที่ดัดแปลงจากผู้ใช้ nana825763 กับ username 666 ซึ่งไม่ใช่ตัวจริง บางอันก็เหมือนกับของจริง แต่บางอันก็อาจจะเป็นไวรัสก็ได้ ถ้าคุณอยากลองเสี่ยงก็ไม่เป็นไร แต่มันจะทำให้คอมของคุณเสียได้ ดังนั้นจงระวังให้ดี

เว็บไซต์ YouTube นั้นมีมานานมากแล้ว ย้อนกลับไปในปี 2006 เว็บนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก สิ่งที่คุณเห็นส่วนใหญ่ในเว็บก็มีแต่คนที่เอาคลิ

ปแมวมาลง แต่มีอยู่ Channel นึงที่อัปโหลดคลิปลามกแบบซาดิสม์ และคลิปเลือดสาดซึ่งผู้ใช้รายนี้ได้ถูก Youtube ลบออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังสามารถเข้าถึงได้อยู่ วันหนึ่งมีคนใน Youtube ใด้อัปโหลดสิ่งที่เค้าเจอกับตัวกับ Channel ของ Youtube ที่โดนบล็อกไป Channel นึง
"ผมทำงานให้กับ Youtube ในปี่ 2006 ผมทำงานหนักมาก ผมก็ได้อัปโหลดวีดีโอจากที่นี่ มีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่รู้ผู้ควบคุม Youtube ได้ทำการระงับการใช้งานผู้ใช้ Youtube คนนึง ผมถามพวกเค้าว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่พวกเค้าก็ไม่ตอบผม"
ผมจึงสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่สามารถเข้าถึงหน้า Youtube นั้นได้ แต่ทันใดนั้นเองผู้จัดการ Youtube คนนึงได้ยื่นเศษกระดาษซึ่งมีบางอย่างเขียนไว้อยู่มาให้ผม มันเป็นลิงค์อะไรซักอย่าง เขาขออย่าให้ผมถามอะไรมากกว่านั้น ซึ่งมันเป็นลิงค์ของผู้ใช้ Youtube รายหนึ่ง มันชื่อว่า www.youtube.com/666 ผมกลับบ้านหลังจากทำงาน แล้วพิมลิงค์นั้นลงบนคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมพบว่ามันถูกระงับการใช้งานแล้ว ผมจึงโล่งอก

แต่เมื่อผมกดรีเฟรซหน้านั้นซ้ำๆ มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ชื่อของวีดีโอทุกอันเปลี่ยนเป็นตัวอักษร "X666" ทุกๆข้อความเปลี่ยนไปเป็น "666" ผมคิดว่าคงมีมือดีมาแฮ็คคอมพิวเตอร์ของผม แต่ผมก็ยังไม่เชื่อแล้วกดรีเฟรซหน้านั้นต่อไปทันใดนั้นเอง มี Chennel เด้งขึ้นมา มันเป็นช่อง Youtube 666 ผมคลิกดูวีดีโอในช่องนั้น ส่วนใหญ่เป็นคลิปที่ค่อนข้างรุนแรงและแปลก มีบางวีดีโอที่มีเด็กทารกสี่คนหมุนหัวของพวกเขา บางวีดีโอก็ฉายภาพวนไปวนมา
ผมตัดสินใจที่จะออกจากวีดีโอที่ดูอยู่แล้วไปดูวีดีโออื่น แต่ก็มีปุ่มเด้งขึ้นมา มันว่างเปล่า ผมคลิกที่ปุ่มนั้น มันพาผมไปยังวีดีโออีกอันของ 666
ในวีดีโอนั้นผมเห็นผู้หญิงจมลงไปในบ่อเลือดและสิ่งที่น่ารังเกียจก็เกิดขึ้น ผมคิดว่ามันน่าเกลียดเกินไปจึงกดหยุดวีดีโอไว้ แต่มันกดไม่ติด! ผมจึงตัดสินใจปิด
โปรแกรม Internet Explorer แต่มันก็ไม่ขยับไปไหน จากนั้นผมจึงลองคลิกไปที่วีดีโออื่นดู แต่มันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน ผมคิดว่ามันไม่มีทางออกแล้วจนผมคิดได้ว่า....

ปุ่ม Shut down ยังไงละ! เมื่อคิดได้แล้วผมจึงไม่รีรอรีบกดปุ่ม Shut downคอมพิวเตอร์ของผมทำให้ไวรัสไม่สามารถเข้าเครื่องของผมได้ แต่ปุ่ม Shut down ก็ใช้การไม่ได้ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมโดนแฮ็คจนได้

สิ้นหวังแล้ว ผมออกจาก IE ไม่ได้ วีดีโอยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีอะไรที่จะหยุดผมได้ ผู้หญิงในวีดีโอยังคงจ้องมองมาที่ผม พร้อมกับเสียงเพลงและทำนองประหลาดๆ ทันใดนั้น ผู้หญิงในวีดีโอก็ยื่นมือออกมาจากวีดีโอ แล้วทำให้ IE ของผมไม่สามารถใช้งานได้อีก
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมก็ได้ยื่นใบลาออกหลังจากหนีออกมาจาก Channel 666 กับประสบการณ์สยองที่ผมจะไม่มีวันลืม ผมคิดในใจว่า เรื่องพวกนี้เกิดจากสิ่งลี้ลับหรือไม่ หรือมันเป็นแค่มุกตลกของ Youtube เท่านั้น อย่างไรก็ตามความจริงก็ยังคงเป็นปริศนาทุกวันนี้ ผมนอนไม่หลับหลังจากดูวีดีโอเหล่านั้น ผมสงสัยว่าใครเป็นคนทำมันขึ้นมา

มีบล็อกเกอร์อยู่อันนึงได้ล่มลงสองวันหลังจากสร้างบล็อกเสร็จ เมื่อใครก็ตามที่เข้าไปยังบล็อกนั้น จะมีข้อความเด้งขึ้นมาพูดว่า "ถูกลบโดย Admin รหัส Error 666" เจ้าของบล็อกนั้นได้ส่งอีเมล์มาหาผม ขอให้ผมเผยแพร่ข้อความนี้

"อย่าไปลองกดรีเฟรซ USERNAME 666 เด็ดขาด เพราะถ้าคุณทำมันสำเร็จ มันจะไม่มีวันหยุด และคุณก็จะหนีออกจากมันไม่ได้อีกเลย"
ผมหวังว่าจะไม่มีใครลองทำมัน...
คลิป https://www.youtube.com/watch?v=7iFXyLah2oQ



ความคิดเห็นที่ 29

เรื่องที่ 19 "เสียงเรียกของแม่" เรื่องนี้สั้นแต่อ่านแล้วขนลุก

เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เธอได้ยินเสียงเรียกของแม่จากห้องครัว เธอจึงวิ่งลงบันไดไปหาแม่ที่ห้องครัว
ระหว่างที่กำลังวิ่งไปหาแม่เธอที่ห้องครัวอยู่นั้นเอง ประตูของห้องใต้บันไดได้เปิดขึ้น มีมือมาดึงตัวเธอเข้าไปในนั้น นั้นคือแม่ของเธอเอง แม่ของเด็กก็กระซิบกับเด็กเบาๆว่า "อย่าไปที่ห้องครัวนะลูก แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน"

ความคิดเห็นที่ 30

พวกเจ้าจงดูคลิปนี้ แล้วตายซะ!!!!!!!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า



ความคิดเห็นที่ 31

เรื่องที่ 20 "ฝัน" สั้นๆสยองเหมือนกันครับเรื่องนี้

"พ่อคะ หนูฝันร้ายคะ"
ผมลุกขึ้นมาแล้วมองไปที่นาฬิกาดิิจิตอล ตีสาม "ลูกจะบอกพ่อมั้ยว่าเธอฝันว่าอะไร"
"ไม่คะ"
ความประหลาดของสถานการ์ณทำให้ผมตื่นตัวขึ้น ผมเกือบจะมองไม่เห็นลูกสาวผมในความมืด "ทำไมล่ะลูก"
"ก็ในฝันของหนู พอหนูบอกฝันให้พ่อฟัง เจ้าตัวที่ใส่หนังแม่อยู่มันก็ลุกขึ้น"
ผมรู้สึกตัวชาไม่สามารถละสายตาออกจากเธอได้ ผ้าห่มของเมียผมก็เริ่มขยับ
ที่มา http://forum.asura.in.th/index.php?topic=5660.0

ความคิดเห็นที่ 32

เดี๋ยวคราวนี้มาแนวๆตำนานเมืองของฝรั่งเค้ากันมั่งนะครับ เห็นเค้าโพสกันใน creepypasta อยู่เหมือนกัน
เรื่องที่ 21 "ดีใจมั้ยที่ไม่ได้เปิดไฟ"

หรืออาจเป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Roommate เรื่องเล่านี้เป็น Urban Legend ที่เล่าลือกันในหมู่นักศีกษาระดับวิทยาลัย ต้นกำเนิดของเรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดแต่เริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อราว ๆ ปี 1997

กล่าวถึงสองสาวซึ่งเป็นรูมเมทกัน กำลังขะมักเขม้นติวหนังสือเพื่อเตรียมสอบมิดเทอมในวันรุ่งขึ้น สาวหนึ่งเริ่มล้าจึงขอตัวไปนอนก่อนในขณะที่อีกหนึ่งยังคงคร่ำเคร่งต่อเพราะอยากให้คะแนนสอบออกมาดี

จนกระทั่งดึกดื่น เธอนึกขึ้นมาได้ว่าทิ้งหนังสืออ้างอิงที่ต้องการใช้ไว้ในห้องของเพื่อนสาว ด้วยความที่ไม่อยากรบกวนเพื่อนที่นอนอยู่หญิงสาวจึงย่องเข้าไปเงียบ ๆ และพยายามควานหาหนังสือที่ต้องการในความมืดโดยไม่ได้เปิดไฟ

ทันใดหูก็แว่วสำเหนียกเสียงหายใจหนัก ๆ มาจากทิศทางของเตียง จึงกระซิบเรียกชื่อเพื่อนดูเบา ๆ เพราะนึกว่าเผลอทำให้หล่อนตื่น แต่กลับไม่มีเสียงขานรับ

แต่กระนั้นก็ยังคงได้ยินเสียงขยับเคลื่อนไหวในความมืดจึงได้ถามต่อว่า "ขอเปิดไฟหน่อยได้มั้ย? ฉันอยากจะหาของหน่อยน่ะ"

ยังคงไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม

คิดว่าเพื่อนสาวคงแค่ละเมอพลิกตัว เธอจึงควานหาในความมืดต่อไปจนกระทั่งเจอหนังสือที่ต้องการ จากนั้นจึงย่องแผ่วออกจากประตูเพื่อกลับไปอ่านหนังสือต่อและทบทวนความรู้เตรียมสอบไปจนกระทั่งเช้า

แต่เมื่อถึงเวลาสอบเธอกลับไม่เห็นเพื่อนของเธอแม้แต่เงา

หญิงสาวเป็นกังวลมาก ห่วงเพื่อนว่าจะไม่สบายหรือเป็นอะไรไป เมื่อกลับถึงบ้านจึงรีบเข้าไปหาในห้องนอน และเจอเข้ากับภาพชวนตระหนก

รูมเมทของเธอทอดร่างไม่ไหวติง นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง

หล่อนถูกฆาตกรรม!

เธอตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้สติ และรีบหันหลังกลับเพื่อจะไปแจ้งตำรวจ แต่สายตากลับเห็นอะไรบางอย่างที่กำแพงห้องเข้าเสียก่อน บางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาโดยพลัน

บนกำแพงนั้นปรากฏอักษรเขียนด้วยเลือดที่อ่านได้ความว่า "ดีใจมั้ยที่ไม่ได้เปิดไฟน่ะ?"
ที่มา http://chaosblade.exteen.com/20090904/aren-t-you-glad-you-didn-t-turn-on-the-light

ความคิดเห็นที่ 33

เรื่องที่ 22 "ลิ้นที่เลียมือ"

The Licked Hand (หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า Humans Can Lick, Too)เป็น urban legend ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมกันมากทีเดียวในหมู่วัยรุ่น และเรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่นมากครับ ค่อนข้างเรียบเรียงลำบากเหมือนกัน

กล่าวถึงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง อายุราวๆ 14-15 ปี โดยมากมักระบุว่าเธอเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักทีเดียว สาวน้อยคนนี้มีเหตุให้ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียวเนื่องจากพ่อและแม่ของเธอจำเป็นต้องไปทำธุระที่ต่างเมือง และจะกลับมาในตอนสายๆของวันรุ่งขึ้น ถึงจะกังวลกับการที่ต้องปล่อยให้ลูกสาวสุดที่รักอยู่บ้านคนเดียวแต่ก็ยังพออุ่นใจอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็ยังมีสุนัขตัวโตที่เลี้ยงไว้คอยอยู่เป็นเพื่อน (มักจะเป็นพันธุ์ collie หรือ German shepherd) กระนั้นก็ยังไม่วายกำชับกำชานักหนาว่าพอค่ำมืดแล้วให้เธอปิดประตูหน้าต่างทุกบานให้ดีๆ

คืนนั้นเมื่อเวลาผ่านไปจนค่อนข้างดึก สาวเจ้าก็ปิดล็อคประตูหน้าต่างทุกบานในบ้าน ยกเว้นหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นล่างที่ปิดยังไงก็ไม่ได้(บ้างก็ว่าปิดได้แต่ล็อคไม่ได้) เธอจึงตัดสินใจปล่อยมันทิ้งไว้แต่ปิดล็อคประตูของห้องนั้นแทน จากนั้นก็ขึ้นไปห้องนอนที่ชั้นบน เจ้าหมาคู่ใจมุดเข้าไปอยู่ใต้เตียงซึ่งเป็นที่นอนประจำของมัน สาวน้อยเข้านอนด้วยความไม่สบายใจเท่าใดนัก จึงยื่นมือลงไปหาบอดี้การ์ดของเธอเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ใต้เตียงไม่ได้หนีไปไหน มันเลียมือตอบอย่างเคย ทำให้เธอรู้สึกเบาใจลงบ้างและผลอยหลับไป


เด็กสาวตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงอะไรบางอย่าง เมื่อเงี่ยหูฟังดีๆแล้วดูเหมือนจะเป็นเสียงน้ำหยดดังติ๋ง ๆ มาจากในห้องน้ำที่อยู่ติดกันกับห้องนอน เธอคิดว่าคงปิดก๊อกน้ำไม่สนิทจึงมีเสียงน้ำหยดลงในอ่างแต่ก็ไม่กล้าจะเดินไปตรวจดูและคิดว่าเสียงหยดแค่นี้คงไม่เป็นไรกระมัง แต่ด้วยว่าอยู่ตัวคนเดียวในบ้านทำให้ใจแป้วไม่น้อยเลยยื่นมือลงไปหาหมาตัวโปรดที่ใต้เตียง เมื่อโดนเลียมือก็อุ่นใจในสัมผัสว่าเจ้าเพื่อนยากยังคงอยู่ที่เดิมจึงได้ข่มตานอนแล้วหลับต่อ

แต่เสียงติ๋ง ๆ ที่ดังอยู่ตลอดคอยรบกวนทำให้เธอหลับไม่ค่อยสนิท และตื่นขึ้นมา 2-3 ครั้ง และทุกครั้งที่เด็กสาวกังวลจนยื่นมือลงไปใต้เตียงก็จะสัมผัสได้ว่าเจ้าหมาตัวโปรดยังคงเลียมือตอบเสมอ จึงยังอุ่นใจอยู่ได้เพราะคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยมันก็จะคอยปกป้องเธอ

จนในที่สุดช่วงใกล้รุ่งสางเธอก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจลุกขึ้นไปดูในห้องน้ำให้รู้แน่ว่าต้นกำเนิดเสียงคืออะไร เมื่อเข้าไปแล้วสายตาสาวเจ้าก็ปะทะเข้ากับภาพชวนผวา สุนัขตัวโปรดของเธอถูกฆ่าปาดคอและแขวนห้อยอยู่กับฝักบัวติดผนัง (บ้างว่าแขวนไว้กับราวม่านกั้นในห้องน้ำ) เลือดของมันที่ไหลหยดลงอ่างน้ำนี่เองที่เป็นเสียงที่เธอได้ยินมาตลอดทั้งคืน

ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นจากภาพในกระจก เธอหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วและขนลุกซู่ด้วยความผวา บนกำแพงมีข้อความที่เขียนด้วยเลือดของสุนัขตัวโปรดของเธอว่า "Humans Can Lick, Too"
ที่มา http://chaosblade.exteen.com/20090903/the-licked-hand

ความคิดเห็นที่ 34

เรื่องที่ 23 "ฆาตกรที่เบาะหลัง"

Killer in the Backseat (หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า High Beams) เป็น urban legend ที่รู้จักกันดีในอเมริกาและอังกฤษ ปรากฏครั้งแรกในปี 1967 เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันมากในยุคนั้นและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วผ่านปากต่อปาก

เป็นเรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังขับรถกลับบ้านในยามดึกสงัดเพราะเผลอก๊งกับเพื่อนสาวดึกไปหน่อย แต่กลับถูกไล่ตามอย่างประชิดโดยรถลึกลับ คนขับเปิด-ปิดไฟสูงถี่ๆและคอยจี้ก้นรถเธอไม่ห่าง บางคราวถึงกับกระแทกชนท้ายรถเธอ

เมื่อเธอมองผ่านกระจกหลัง ก็ได้ยินเสียงชายลึกลับตะโกนและทำมือทำไม้เป็นสัญญานมือบางอย่าง ทำให้เธอตื่นตระหนกจนแทบประสาทเสีย

รถคันนั้นตามจี้เธอไปติดๆจนกระทั่งเธอขับกลับมาถึงบ้านอย่างทุลักทุเล พอจอดรถได้เธอก็รีบเผ่นแผล็วเข้าบ้านโดยพลันด้วยใจระทึก เมื่อพยายามจะโทรแจ้งตำรวจก็ได้ยินเสียงคนขับรถคันนั้นตะโกนว่า "ล็อคประตูบ้านแล้วโทรเรียกตำรวจซะ!" ทำให้เธอรู้สึกงุนงงไม่น้อย

แต่เมื่อตำรวจมาถึง เธอก็ได้รู้ความจริงอันน่าสะพรึงว่าที่แท้คนขับรถลึกลับคันนั้นพยายามจะเตือนเธอว่ามีฆาตกร(นักข่มขืน หรือคนไข้โรคจิตที่หนีออกมา แตกต่างกันไปแล้วแต่เวอร์ชั่น)แอบซ่อนอยู่ที่เบาะหลังของรถ และทุกครั้งที่มันพยายามจะลุกขึ้นจากที่ซ่อนเพื่อทำร้ายเธอด้วยอาวุธในมือ(ส่วนใหญ่ที่เล่ากันดูเหมือนจะเป็นของมีคม) เขาก็จะขับรถประชิดมากระแทกท้ายรถเพื่อให้มันเสียจังหวะ

ในบางเวอร์ชั่น เริ่มแรกหญิงสาวจะหยุดรถที่ปั๊มเพราะน้ำมันใกล้หมด และคนดูแลปั๊มที่ดูท่าทางมีพิรุธจะพยายามคะยั้นคะยอขอให้เธอเข้าไปคุยกันในอาคารเพราะมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับบัตรเครดิต แต่เธอปฏิเสธเพราะเขาดูไม่น่าไว้ใจ และขับรถหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชายคนนั้นจะขับรถตามไล่จี้ไปอย่างกระชั้นชิด(เพราะเขาเห็นว่ามีคนซ่อนอยู่ที่เบาะและพยายามจะบอกเธอ)

เรื่องราวนี้มักจะถูกถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มาเตือนหญิงสาวมักจะเป็นคนตัดไม้ สิงห์รถบรรทุก หรือคนที่ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่ดูน่ากลัวนั่นเองคือผู้ที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
ที่มา http://chaosblade.exteen.com/20090825/killer-in-the-backseat

ความคิดเห็นที่ 35

เรื่องที่ 24 "ภาพอาถรรพ์"

ภาพวาด The Hands Resist Him หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ The eBay Haunted Painting ถูกวาดขึ้นมาโดยฝีมือของ Bill Stoneham จิตรกรชาวโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1972 ถูกจัดแสดงครั้งแรกที่ Los Angeles gallery และจากนั้นได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ John Marley นักแสดง(รับบทเป็น Jack Woltz ในภาพยนตร์ The Godfather)ที่ได้ซื้อภาพนี้ไป ภายหลังเขาได้เสียชีวิตลงในปี 1984

เป็นภาพของเด็กผู้ชายและตุ๊กตาเด็กผู้หญิง ยืนอยู่หน้าบานประตูกระจกซึ่งมีมือเล็กๆมากมายปรากฏอยู่อีกด้าน

ข่าวลือเกี่ยวกับภาพนี้ปรากฏขึ้นในเว็บไซท์ประมูล eBay เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 โดยมีคำอธิบายกำกับไว้ว่า ภาพนี้เป็นภาพอาถรรพ์

คู่สามีภรรยาจากแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นผู้นำภาพนี้ออกประมูลอ้างว่า ผู้ที่นำมาให้ได้ไปพบภาพนี้ถูกทิ้งไว้ในโรงกลั่นเหล้าร้างโดยบังเอิญ เห็นว่าเป็นภาพที่ดีจึงนำติดมือกลับมา เมื่อได้เห็นครั้งแรกทั้งคู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยว่าทำไมภาพดีๆอย่างนี้จึงถูกนำไปทิ้งไว้แบบนั้น แล้วก็แขวนภาพนี้ไว้ในห้องนอนของลูกสาววัยสี่ขวบ

เช้าวันหนึ่งลูกสาวของพวกเขาบ่นให้ฟังว่าเด็กสองคนในภาพทะเลาะกันและออกจากภาพเข้ามาในห้องในช่วงกลางคืน

ผู้เป็นพ่อจึงลองติดตั้งกล้องถ่ายภาพแบบมีเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวไว้ในห้องลูกสาวเป็นเวลาสามคืน กล้องได้ถ่ายภาพออกมาหลายภาพ และภาพถ่ายสองใบสุดท้ายนั้นดูเหมือนเด็กผู้ชายกำลังจะหนีออกมาจากภาพด้วยความหวาดกลัว

ภาพที่ว่านี้ถูกนำมาโพสท์บนเว็บไซท์ด้วยเช่นกัน ด้วยสภาพที่มืดจนมองอะไรต่อมิอะไรไม่ชัดนัก แต่นั่นก็อาจทำผู้ดูเกิดจินตนาการไปได้ว่า เด็กชายกำลังพยายามหนีออกมาจากภาพโดยมีตุ๊กตาเด็กหญิงกำลังหัวเราะคิกคักพร้อมกับจ่อ'อาวุธ'ในมือเข้าใส่


พวกเขาตัดสินใจว่าไม่อยากจะเก็บภาพนี้ไว้อีกต่อไป และระบุว่าจะไม่ขอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นหลังการขาย

และแล้วภาพนี้ก็กลายเป็นปรากฏการณ์ทางอินเตอร์เน็ตที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในที่สุด

ผู้ชมกว่า 30,000 รายที่เข้าไปดูหน้าเว็บต่างรายงานว่าประสบเหตุการณ์แปลกๆเข้ากับตัวเพียงแค่จ้องมองภาพนี้ผ่านหน้าคอมพิวเตอร์เท่านั้น

มีรายหนึ่งอ้างว่าได้ยินเสียงสวดมนต์พึมพัมงึมงัมพร้อมกับลมร้อนระอุอ้าวที่พัดเป่าเข้ามา
อีกรายอ้างว่ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาขณะที่จ้องมองภาพอยู่ และถึงกับต้องเผาใบ white sage ปัดรังควานกันยกใหญ่เลยทีเดียว
รายอื่นๆก็อ้างว่าหน้ามืดหมดสติไปบ้าง หรือเหมือนโดนล้างสมองบ้าง

ผู้ขายได้กลับเข้ามาอีกครั้งก่อนการประมูลจะจบสิ้นลงและเขียนข้อความทิ้งไว้ว่า "โลกนี้ไม่มีผีหรือพลังเหนือธรรมชาติอยู่จริงหรอก นี่ก็เป็นแค่ภาพวาดธรรมดาๆภาพนึงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคำธิบาย และในกรณีนี้มันก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะแสงหลอกตาเท่านั้น รูปถ่ายสองใบนั้นขอให้คิดเสียว่าเป็นเรื่องขำๆ"

แต่ลงว่าคนมันเชื่อกันไปแล้ว จะล้มล้างความคิดเดิมคงยาก และหลายเว็บไซท์ก็ขนานนามภาพนี้ว่า legendary "Haunted Painting of eBay"

ภาพ Hands Resist Him ถูกขายไปในราคา 1,025 เหรียญ จากราคาเริ่มต้นที่ 199 เหรียญ โดยมีคนเสนอราคาทั้งสิ้น 30 ครั้ง และคาดว่าจากชื่อเสียงของภาพที่กระจายไปทั่วจะทำให้ราคาปัจจุบันมากกว่านั้น ไม่เพียงเฉพาะในฐานะภาพศิลปะ แต่ยังในฐานะภาพอาถรรพ์ที่โด่งดังที่สุดใน eBay

และคนที่อึ้งกับข่าวลือของภาพนี้ที่สุดก็คงไม่พ้นตัวศิลปินที่วาดภาพนี้ขึ้นมาเองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
Bill Stoneham คอมพิวเตอร์กราฟฟิคอาร์ทติสท์อายุ 55 ปี ผู้ทำงานให้กับ Cyan Worlds บริษัทที่สร้างหนึ่งในเกมคอมพิวเตอร์เบสท์เซลลิ่ง Myst and Riven

"The Haunted Painting of eBay" หรืออีกนัยหนึ่ง "Hands Resist Him" คือภาพที่เขาได้ขายให้แก่ California gallery ในปี 1973 และไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกเลย

จนกระทั่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2001 เมื่อเจ้าของ Perceptions Gallery ในเมือง Grand Rapids รัฐมิชิแกน ได้ส่งอี-เมล์มาหาเขาว่า ทางแกลเลอรี่ได้ซื้อภาพนี้มาจากคู่สามีภรรยาชาวแคลิฟอร์เนียผ่านทางอีเบย์เป็นจำนวนเงิน 1,200 เหรียญ (ตรงนี้ข้อมูลจำนวนเงินไม่ตรงกัน ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอันไหนถูก) เจ้าของแกลเลอรี่สืบหาชื่อเขาเจอจากด้านหลังรูปภาพ และได้แนะนำให้ Stoneham ลองเข้าไปเช็คในหลายๆเว็บเพจดู

Stoneham ถึงกับขนลุกเกรียว แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดียวกับคนอื่นๆ

เขาว่า "ไอ้การที่เห็นหน้าตาของตัวเองในภาพวาดถูกขยายออกมาเต็มจอแบบนั้นมันรู้สึกแหยงๆพิลึก"
เพราะอันที่จริง ภาพเด็กผู้ชายในรูปนั้นก็คือตัวเขาเองกับเด็กสาวตัวน้อยข้างบ้าน ซึ่งมาจากภาพถ่ายเก่าๆของครอบครัวที่เขาใช้เป็นแบบอ้างอิงในการวาด

จากนั้นเขาจึงเริ่มอ่านเรื่องราวที่มาของการ "หลอน" และสิ่งแรกที่เขาคิดขึ้นมาในใจก็คือ

"คิดยังไงวะเนี่ยที่เอารูปแบบนี้ไปติดไว้ในห้องนอนเด็กน่ะ?"

ปฏิกิริยาที่สองของเขาคือสงสัยว่าภาพวาดของเขามันไปจุดประกายเป็นเรื่องผีๆสางๆได้ยังไง

แรกเริ่มเดิมทีเมื่อเขาวาดภาพนี้นั้น เขาได้คิดไต่ตรองโดยใช้แนวคิดทางจิตวิทยาของจุง และวิชาปรัชญาสัญลักษณ์(metaphysical symbolism)

เด็กผู้ชายนั้นวาดขึ้นโดยอิงจากภาพถ่ายตัวของเขาเองในวัย 5 ขวบ ประตูสื่อถึงการเป็นตัวกั้นเขตแดนระหว่างโลกปกติและดินแดนแห่งความฝันหรือความน่าจะเป็น ตัวตุ๊กตาคือเพื่อนในจินตนาการหรือมัคคุเทศก์ที่จะคอยอารักขาให้เด็กชายนั้นผ่านเข้าไปในดินแดนแห่งนั้นได้ ส่วนมือนั้นหมายถึง 'ชีวิตอื่น' ที่แตกต่างออกไป

เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ภาพออกมาดูน่ากลัวชวนขนลุก เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือชวนให้อึดอัดใจแต่อย่างใด ไอ้สิ่งที่อ้างว่าเป็น 'อาวุธ' ในมือตุ๊กตานั่นมันก็เป็นแค่ถ่านไฟฉายแบบที่เขาเคยใช้กับเครื่องบินจำลองเมื่อตอนเป็นเด็กเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม "ภาพอาถรรพ์" นี้ก็มีส่วนเปลี่ยนชีวิตเขาไปในหลายๆด้าน มันเป็นแรงดลใจให้เขาเปิดเว็บเพจของตนเองและหันกลับมาทำงานจิตรกรรมอีกครั้งหลังจากร้างราไปมากกว่าสิบปี Stoneham บอกว่าผลตอบรับที่รุนแรงจากผลงานของเขาที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกยินดีปรีดาไม่น้อย

ตัวเขาเองนั้นไม่รู้ว่าภาพนี้ถูกทิ้งไว้ตามที่ผู้นำออกประมูลอ้างได้อย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าเจ้าของแกลเลอรี่ที่ภาพนี้ได้ถูกจัดแสดงครั้งแรก และนักวิจารณ์ศิลปะของ Los Angeles Times ที่ลงบทความเกี่ยวกับงานนี้ ทั้งคู่ได้เสียชีวิตภายในหนึ่งปีหลังจากงานแสดงภาพของเขาจริงๆ
ที่มา http://pantip.com/topic/31630202

ความคิดเห็นที่ 36

เรื่องที่ 25 "Missing No." อันนี้เป็น Glitch (คล้ายๆบัค) ของเกมโปเกมอนนะครับ


อย่าคิดที่จะไปว่ายน้ำแถว ๆเกาะกุเร็น
อย่าแม้แต่จะคิด
ฉันรู้คุณคงไม่ฟังฉัน นี้เป็นเรื่องลึกลับที่อยู่ภายใต้ทะเลแห่งนี้ ถ้าสมมุติคุณเจอมันเข้าฉันจะกล่าวว่าจงอย่างไปเมืองชิองอีกเลย

คิดว่าที่ฉันเล่าป็นเรื่องตลกหรือไง...?

หาเก้าอี้มานั่งและจงนั่งฟังดีๆไม่ว่าอย่างไรจงฟังคำพูดของฉันเอาไว้

ฉันเป็นเพียงเป็นตัวเล็กๆที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะฉันเพิ่งได้เกมที่ใหม่ที่สุดในสมัยนั้นนั้นคือโปเกม่อนฉันได้รับ
โปเกม่อนภาคเรด ฉันตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นและลิซาด้อนของฉันชื่อว่า..เฟรม?ล่ะมั้ง?ใช่แล้วล่ะเฟรม เขาและรัตต้า,อิมเพริได้เดินทางร่วมกัน

จนกระทั้งฉันเดินทางไปสู่เกาะกุเร็น

ฉันต้องการที่จะฝึกเจ้าเฟรมสะนิดเพื่อที่จะให้อุดจุดอ่อนแอและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ฉัน...เสิร์ฟไปจับเกียราดอสในมุมนึงแถว ๆเกาะกุเร็น

เฮ้อ....
และ..มีกิลช์(Giltch)โผล่ออกมาจากหมอก

Missing No.

ฉันพยายามบินหนีให้เร็วที่สุดไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม ฉันกลัว..กลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉันตัดสินใจบินหนีไปเมืองชิอง เสียงเพลงสยองขวัญสั่นประสาทได้ดังขึ้น

ไม่นะ....

เมื่อฉันถึงเสียงเพลงหลาย ๆเสียงทำให้ใจฉันสั่นขึ้น
และ...เมื่อถึงท่อนกลางของเพลงฉันได้ยินเสียงกรีดร้อง ฉันรู้สึกทันทีว่านี้มันเป็นเสียงของการาการ่า
กล่องข้อความได้ปรากฏขึ้นมามันอ่านได้ว่า
"เธอหนีมาจากแม่"
รูปภาพปรากฏออกมา เลือดมากมายบนกระดูกมี สีดำลึกลับไหลออกมาจากกระโหลกของการาการ่า
กล่องข้อความได้กล่าวว่า-"หนูไม่อยากใส่กระโหลกแบบนี้หรอกนะ..แต่แม่ถูกการูร่าสังหาร....หนูควรจะเป็นแบบนี้..."
...
กล่องข้อความปรากฏขึ้นอีก "หนูรักแม่แต่ท่ามกลางกิลช Missing no. ได้โผล่ออกมารอบ ๆกระโหลด และร่วมตัวกันเป็นหนูเหมือนแม่...ที่ต้องตาย..."
รูปภาพของคาราคาร่าปรากฏขึ้นมาเลือดได้เต็มท่วมปาก มีความมืดมิดออกมาจากดวงตา

"แม่จ๋า!!!!!!!"
Save File Corrupted. Please turn off Power.
และทุกอย่างได้หายไป

จงอย่าทำเรื่องผิดพลาดแบบที่ฉันทำ...คุณอาจจะเจอยิ่งกว่าฉัน ฉันทำแบบนี้เพราะเจ้าMissing no. ไม่น่าว่าคุณอาจจะ...
ต้องสิ้นชีวิตลงแบฉันก็เป็นได้....
ที่มา https://soundcloud.com/chiakiyamakawa/creepy-pasta-th-missing-no

ความคิดเห็นที่ 37

เรื่องที่ 26 "The thing in the window"

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เจอกับประสบการณ์อันน่าสยดสยองในบ้านของผมเอง มันอยู่นอกหน้าต่างในห้องของผม มันเป็นเหมือนใบหน้าอันซีดเซียวของมนุษย์ถูกอัดก็อบปี้จนติดกับกระจกหน้าต่าง

ในตอนแรกผมคิดว่าเป็นการแกล้งเพื่อให้ผมตกใจเล่นๆด้วยตุ๊กตาสยองๆ ผมเดินออกไปหน้าบ้านด้วยความคิดที่ว่าจะเอาของเล่นพิเรนทร์นั่นออกไปให้พ้นๆหน้าต่าง แต่ทว่ามันกลับไม่มีอะไรที่ฝั่งตรงข้ามของหน้าต่างในห้องผม

คงมีใครเก็บไปแล้วสินะ ผมคิดในใจ

ผมเดินผิวปากกลับเข้าห้องนอนอย่างสบายใจ แต่ผมก็พบกับภาพที่ทำให้ผมหัวเสีย ไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นมันกลับมาอยู่ที่เดิม

“มึงออกมานะ ไอ้ลูกหมา!” ผมโมโหมาก จึงวิ่งไปรอบบ้านแล้วตะโกนเสียงดังหนวกหู แต่สุดท้ายผมก็ไม่เจอใครเลย ผมอยู่อย่างอึดอัดกับใบหน้าที่แปะอยู่บนหน้าต่างในห้อง เหมือนมันจ้องมองมาที่ผมตลอดเวลา ยามที่ผมหันหลังให้มัน ราวกับว่าใบหน้าของมันขยับตามผมอย่างน่าขนลุก และเมื่อผมหันกลับไปมองมัน ใบหน้าของมันกลับหันไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว มันเป็นตัวอะไรกันแน่

ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลงในวันพฤหัสบดี ผมเปิดหน้าต่างเพื่อที่จะไปเผชิญกับมันตรงๆ ผมคิดว่าผมใจแข็งพอ แต่ว่าเมื่อผมเปิดหน้าต่างออกไปผิวหนังของมันนั้นคิดอยู่กับหน้าต่างอย่างแน่หนา เหลือแต่เพียงใบหน้าเปลือยๆไร้ผิวหนังจ้องมองผมอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าเปลือยๆสีแดงของมันทำให้ผมถึงกับกรีดร้องออกมาลั่นบ้าน

รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าที่ไร้ผิวหนัง ขณะที่ผมปิดหน้าต่างลงอย่างแรงด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด ผมเริ่มตั้งสติอีกครั้ง ลองมองเห็นมันยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆจนน้ำลายไหลย้อยติดหน้าต่าง ผมใช้กำปั้นของผมต่อยกระจกเพื่อไล่มันออกไป น่าแปลกที่กระจกกลับไม่มีแม้แต่รอยร้าวเลยทั้งที่ผมต่อยไปเต็มแรงแล้ว

มันยิ้มเยอะเย้ยผม รอยยิ้มเริ่มยาวจนเหมือนกับว่าจะผ่าใบหน้าของมันออกเป็นสองซีก ในปากของมันเต็มไปด้วยฟันสกปรกที่เรียงอย่างผิดรูป มันใช้มือสีดำทมิฬเริ่มทุบกระจกเลียนแบบผม แต่ทันใดที่มันทุบครั้งแรก เสียง ตุบ ของแรงกระแทกนั้นดังลั่นบ้านของผม และกระจกเกิดรอยร้าวอย่างรุนแรง มันยังคงทุบต่อไปเรื่อยๆ รอยร้าวลุกลามไปที่ผนังห้อง อย่างกับว่าบ้านของผมกำลังจะพังทลาย

เพล้ง………..

ผมตื่นมากลางดึกท่ามกลางความเงียบงัน ไม่มีอะไรอยู่ที่หน้าต่าง ไม่มีรอยร้าว ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทันใดนั้นผมก็รูปสึกได้ว่ามีมืออันเย็นเยือกมาสัมผัสไหล่ขวาของผม ผมหันไปพบเจอกลับรอยยิ้มอันน่าขนลุกของ “มัน”

มันยังคงจ้องมองผมอยู่
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/253354388159847/?type=1&theater
สนับสนุนเพจนี้หน่อยครับ เพราะเค้าแปลเรื่องยาวหลายเรื่องเลยแต่น่าเสียดายที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก

ความคิดเห็นที่ 38

เรื่องที่ 27 "The Portraits"


ในฤดูล่าสัตว์ มีนายพรานคนหนึ่งพึ่งกลับมาจากการล่าสัตว์ ในราตรีที่ท้องฟ้ามืดมัวนี้เขาไม่สามารถหาทางออกจากได้ เขาได้แต่เพียงมองหาที่ที่เหมาะสมสำหรับค้างคืนเพื่อรอให้ดวงอาทิตย์ขึ้น

เขาได้มองเห็นกระท่อมหลังเล็กๆในความมืดนั้น เขาไม่รีรอ รีบตรงไปที่กระท่อมหลังนั้นทันที มันเป็นกระท่อมที่ทำจากไม้เก่าๆ หลังคาถูกปูอย่างลวดๆประตูไม้ที่ใกล้พังเต็มทนแต่ก็คงจะอยู่ได้ซักคืน เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เสียงเอี้ยดจากประตูดังขึ้นอย่างน่าขนลก เขาเพ่งผนังห้องที่ถูกประดับด้วยรูปภาพที่แปลกประหลาดหลายรูป

มันเหมือนเป็นรูปของสัตว์ประหลาด ที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น มันทำให้เขาขนลุก เขาวางสัมภาระทั้งหมดที่หอบมาด้วยลงบนพื้น และล้มตัวลงนอนหนุนกระเป๋าสะพาย เขาพยายามที่จะไม่จ้องมองภาพพวกนั้น แต่เหมือนกับว่า ภาพมันกำลังจ้องมองเขาซะเอง เขารีบข่มตานอนเพราะเกิดกลัวภาพพวกนั้นขึ้นมา

เช้าวันรุ่งขึ้นในกระท่อมผุๆพังๆหลังเดิม แสงแดดสอดส่องเข้ามาในหน้าต่างหลายบนของกระท่อมนั่นทำให้นายพรานหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมา ทว่าหลังจากที่เขามองไปรอบๆในกระท่อมที่มีแสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามานั้นมันทำให้เขาเกิดความกลัวมากกว่าภาพที่เขาเจอเมื่อคืน เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหน้าต่าง….
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/253342161494403/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 39

เรื่องที่ 28 "The Girl in the Photograph"

วันหนึ่งที่โรงเรียนเด็กชื่อทอมกำลังนั่งอยู่ในชั้นเรียนและคิดคณิตศาสตร์ มันเป็นเวลาหกนาทีก่อนเลิกเรียน ขณะที่เขากำลังทำการบ้านของเขาสิ่งที่ติดตาของเขา
โต๊ะทำงานของเขาอยู่ถัดจากหน้าต่างและเขาหันมองไปสนามหญ้าด้านนอก มันดูเหมือนภาพวาด เมื่อโรงเรียนเลิก เขาวิ่งไปยังจุดที่เขาเห็นมัน เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เเละเขาก็พบกับมัน (รูป)
เขาหยิบมัน (รูป) ขึ้นมาและยิ้ม มัน (รูป) มีภาพของหญิงสาวที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น เธอมีชุดที่มีถุงน่องและรองเท้าสีแดงและมือของเธอที่ชูขึ้น 2 นิ้ว
เธอเป็นคนที่สวยมากเขาอยากจะพบเธอเขาจึงวิ่งไปทั่วโรงเรียนและขอให้ทุกคนถ้าพวกเขารู้จักเธอหรือเคยเห็นเธอมาก่อนหรือป่าว ? แต่ทุกคนเขาถามว่า "ไม่เคย" เขาได้รับความเสีย

เมื่อเขาอยู่บ้านเขาถามพี่สาวของเขาเพื่อเธออาจจะรู้จักผู้หญิงคนนั้น แต่โชคร้ายที่เธอยังกล่าวว่า "ไม่" มันก็ดึกมากดังนั้นทอมจึงเดินขึ้นบันไดวางภาพบนโต๊ะข้างเตียงของเขาและไปนอนหลับ
ในช่วงกลางของคืนทอมถูกปลุกให้ตื่นโดยที่ได้ยินเสียงเคาะเบาๆที่หน้าต่างของเขา มันเป็นเหมือนเล็บเคาะเบาๆ เขาได้รู้สึกกลัว หลังจากที่เคาะเขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เขาเห็นเงาใกล้หน้าต่างของเขา
เขาจึงได้ลุกออกจากเตียงของเขาเดินไปที่หน้าต่างของเขาเพื่อเปิดหน้าต่างและหาที่มาของเสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อถึงเสียงก็หายไป

ในวันถัดไป เขาถามเพื่อนบ้านของเขาถ้าพวกเขารู้ว่าเธอ ทุกคนกล่าวว่า "ขออภัยไม่เคย" เมื่อแม่ของเขากลับมาถึงบ้านเขาก็ถามเธอว่าเธอรู้รึเปล่า ? เธอบอกว่า "ไม่ใช่"
เขาเดินไปที่ห้องของเขาวางภาพบนโต๊ะทำงานของเขาและเผลอหลับไป
อีกครั้งหนึ่งที่เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยการเคาะ เขาถือภาพและตามหาหัวเราะคิกคัก เขาเดินข้ามถนน ทันใดนั้น เขาก็ถูกชนโดยรถยนต์ เขาตายพร้อมกับภาพในมือของเขา

คนขับได้ออกจากรถและพยายามที่จะช่วยเขา แต่มันก็สายเกินไป ทันใดนั้นเขา (คนขับ) เห็นภาพและหยิบมันขึ้นมา
เขา (คนขับ) เห็นหญิงสาวที่น่ารักชูนิ้วเป็น 3 นิ้วจากเดิม...
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/252926628202623/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 40

เรื่องที่ 29 "The Grinning Man" เรื่องนี้คล้ายๆกับ The smiling man แต่ยาวและสยองกว่าครับ

ผมมีเรื่องมาเล่าเช่นเคย แต่ขอให้คุณอย่าอ่านมัน มันอาจฟังดูโง่ๆ แต่เมื่อคุณอ่านมันคุณก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมบอก มันสายเกินไปแล้วสำหรับผม ผมไม่อาจจะผ่านพ้นมันไปได้ ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่…

ผมมีเพื่อนเก่า โจผมรู้จักกับเขาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตอนนี้ผมอายุยี่สิบปี เขาเป็นเพื่อนของผมมานานมากแล้ว ในตอนนั้นมันดูธรรมดาสำหรับผม

มันอาจดูแปลกๆและน่าทึ่ง

สิ่งที่เขาทำ…

ในคืนวันศุกร์ที่ 23 มกราคม

ผมขับรถไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา เรามีแผนที่จะไปบาร์กัน มันเป็นเรื่องสนุกในวันสุดสัปดาห์ ในระหว่างที่ผมกำลังขับรถ ผมมองเห็นรถพยาบาลและรถตำรวจจำนวนมากบนท้องถนน เช่นเดียวกับคนอื่นๆผมสนใจว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ผมจ้องมองศพที่ถูกผ้าคลุมสีขาวคลุมไว้และล้อมรอบด้วยกระจก ตั้งอยู่ห่างรถที่มีรอยบุบไม่กี่ฟุต

ผมคิดว่าบนท้องถนนใกล้ๆกับอพาร์ตเมนต์ของโจได้เกิดการขับรถชนคนตายขึ้น ว่าโจคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมเดินไปที่ห้องของบนชั้นสาม และมองเห้นตำรวจและนักข่าวมากมายกำลังถ่ายทอดสดข่าวหรืออะไรบางอย่าง

“มันเกิดอะไรขึ้น?” ผมเดินไปถามตำรวจนายหนึ่งในบริเวณนั้น เขาบอกว่าโจได้ฆ่าเพื่อนร่วมห้องด้วยมีดทำครัวและหนีไปทางหน้าต่าง โดยร่างของเขาตกลงที่ถนนด้านล่าง

ผมตกใจมาก โจไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ผมขับรถกลับบ้านเงียบๆ ผมรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภรรยาของผมถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผมก็อธิบายให้เธอฟัง

เธอตกใจเช่นเดียวกับผม และไม่รู้ว่าทำไมโจถึงทำแบบนั้น ผมบอกเธอว่าผมขอเวลาอยู่คนเดียวแล้วเดินไปที่ห้องนอน ผมไปที่คอมพิวเตอร์และเช็คอีเมลของโจดู

ผมรู้รหัส ไอดี อีเมลของโจ ผมคิดว่าบางที่เขาอาจมีเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่สมควรได้รู้ถึงเรื่องนี้

ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำแบบที่ผมทำหรือเปล่า

ผมเปิดดูกล่องจดหมายของเขา โจ ผม และ เพื่อนอีกหลายคนติดต่อการทางอินเตอร์เน็ต และผมพึ่งจะตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากคนหลายคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อีเมลส่วนใหญ่ที่ส่งมาถึงเขาเป็นอีเมลขยะที่ไม่มีเนื้อหาสำคัญโดยมีไฟล์บางอย่างแนบมาด้วย

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมจึงเปิดมันขึ้นมาดู ชื่อของมันเป็นตัวเลขแบบมั่วๆ มันเป็นภาพผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่าในไม่นานผมได้พบว่าภาพนั่นเกิดรอยยิ้มที่น่ากลัว พร้อมกับสายตาที่น่าขนลุก ผมรู้สึกกลัวจึงได้พยายามหันไปมองอย่างอื่นในอีเมล

a single word. A word I can't repeat. Not yet. I need to tell my story. มันเป็นชื่ออีเมลที่ผมบังเอิญเปิดเข้าไปอ่านนั่น ผมไม่อาจทนมองภาพที่น่าขนหัวลุกนั่นได้อีกต่อไป ผมปิดมัน ในขณะที่ผมออกจากระบบอีเมลของโจ ผมสังเกตเห็นเวลาที่อีเมลบ้าๆนั่นส่งมาถึงเขา วันที่ 23 มกราคม 05:35 เขาอาจดูอีเมลนั่นก็ที่จะเสียชีวิต

หลายวันต่อมาผมพยายามจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไปร่วมงานศพของโจ ผมพยายามจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมแต่…

ทุกครั้งที่ผมหลับตาลงมันเหมือนกับว่ากำลังมีคนมากมายกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมเริ่มฝันร้ายมันทำให้ผมเครียด ในฝันผมจำได้ลางๆเกี่ยวกับคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอันน่าสยดยอง ผมไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายได้อีกเลยหลังจากวันนั้น ผมดิ้นรนในการทำงาน และเก็บกฏความเครียดเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

ผมต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มันยากมากที่จะรู้ว่าภาพรอยยิ้มนั่นมันคืออะไร ผมพยายามค้นหาเกี่ยวกับ "Grinning man" "haunted grinning man" หรือ "cursed grinning man" แต่กลับไม่เจออะไรดีๆเลย แต่ผมก็พยายามค้นหาต่อไป

ผมเจอบทความเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของ "grinning man" บทความกล่าวว่า มันเป็นภาพจากแชร์ลูกโซ่ธรรมดาในไม่กี่ปีมานี้ แต่ดูเหมือนว่าภาพนั่นจะมีบางอย่างทำให้ผู้ที่ดูมันเห็นภาพหลอนและฝันร้าย

มันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น เนื้อหาดูโง่ๆและยากที่จะเชื้อถือ แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ฝันร้ายเหมือนกับที่บทความนั้นกล่าว และไม่แน่ว่าโจอาจเห็นภาพหลอนเช่นกันหลังจากดูรูปภาพนั้นแล้ว เขาจึงก่อคดีฆาตรกรรม หรือว่า…

หลังจากนี้ผมจะเป็นแบบโจ? ผมจะเห็นภาพหลอนแล้วฆ่าภรรยาและคนรอบข้าง?

ผมเริ่มหวาดกลัว ถ้านมันเป้นเพียงอาการหวาดระแวงจนพาลไปให้ทำร้ายคนรอบข้างละก็ มันคงไม่เกิดขึ้นกับผมใช่ไหม ผมจะไม่ทำร้ายใครใช่ไหม ผมตัดสินใจที่จะเอาเรื่องนี้ออกไปจากหัว เพื่อที่จะใช้ชีวิตตามปรกติ

ไม่…

ผมยังคงฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง แม้ผมจะใช้ยาระงับประสาทและยานอนหลับก็ตาม ผมไม่บอกเรื่องนี้กับภรรยาแต่ผมคิดว่าเธอสังเกตุเห็นความผิดปรกติของผม ยามันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ในคืนต่อมาผมเริ่มละเมอ ครั้งแรกผมตื่นมาพบว่าตัวเองนอนขดอยู่ในอ่างน้ำ สามวันต่อมาผมตื่นมาพร้อมกับมีด และ กองเลือดของสุนัขที่บ้าน

ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่หลังจากที่ผมทำความสะอาดเลือดออกทั้งหมดจะสะอาด ผมพบกับศพของสุนัขสุดรัก ผมรับนำศพของมันไปซ่อนไว้ในถุงขยะ เมื่อภรรยาถามหามันผมตอบไปว่ามันเดินออกไปนอกบ้านและไม่ได้กลับมา ผมเก็บมีดไว้อย่างมิดชิด ภรรยารู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติขึ้นกับผมจึงเอ่ยถาม แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไรกับเธอไป

ผมเริ่มจดจำความฝันนั่นได้ ภายใต้รอยยิ้มอันน่าสยดสยองเหล่านั้น ตัวผมในความฝันได้ประหารคนในครอบครัวอย่างไร้เหตุผล ผมประหารพวกเขาด้วยวิธีที่น่าขนลุก มันเหมือนเป็นการแสดงเพื่อให้ผมได้เห็น เพื่อให้ผมทำแบบเขา ผมให้ผมมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง…

ดังนั้นผมถึงเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเพราะผมนั้นสิ้นหวัง ผมต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่อยากจะคิดว่าผมจะทำร้ายภรรยาตัวเองได้อย่างไร ผมรักเธอมาก.. ผมไม่อยากที่จะ… ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมันแต่ความฝันผมมันเริ่มเสมือนจริงขึ้นไปทุกที ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไง… ผมไม่รู้

มันอาจดีกว่านี้ถ้าคุณเชื่อที่ผมเตือน…ผมขอโทษ…ผมหวังว่าคุณจะยกโทษให้ผม…ผมขอโทษ

ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/253054394856513/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 41

เรื่องที่ 30 "Abandoned by Disney"

ใกล้เมืองติดชายหาดของเกาะใน North Carolina ดิสนีย์ได้ก่อสร้าง พระราชวัง Mowgli ช่วงปลายปี 1990 ซึ่งมีแนวคิดที่จะสร้างเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่
หากคุณไม่คุ้นเคยกับ Mowgli มันเป็นตัวละครจากหนังสือเรื่อง "The Jungle Book" ซึ่งเป็นการ์ตูนดิสนีย์ในทศวรรษที่ผ่านมา
Mowgli เป็นเด็กที่ถูกทิ้งในป่า และถูกเลี้ยงดูโดยสัตว์ป่า

มีเสียงคัดค้านการสร้าง พระราชวัง Mowgli ทันทีที่เริ่มสร้าง เพราะดิสนีย์ได้ซื้อที่ดินราคาสูงนี้จากรัฐบาล ถึงแม้ว่าที่ดินนั้นจะมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่รัฐบาลก็ได้อ้างสิทธิในการถือครองที่ดินนั้น
ชาวบ้านคนหนึ่งได้พยายามบุกและขัดขวางดิสนีย์แต่ก็ถูกขัดขวางอย่างรวดเร็ว และดิสนีย์ได้ทำการล้างพื้นที่ดินนั้นทั้งหมด ทำลายบ้านเรือนและทุกสิ่งทุกอย่าง
จนกระทั่งการก่อสร้างเสร็จสิ้น มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ทำให้พื้นที่โดยรอบท่วมท้นไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว…การจราจรติดขัด ซึ่งสร้าความไม่พอใจให้กับผู้คนโดยรอบ

จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จบลง

ดิสนีย์ได้ปิดที่นั่น โดยไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พวกชาวบ้านก็พอใจกับการกระทำนี้
เกิดอะไรขึ้น?
ผมได้อ่านบทความจากคนที่เคยไปสำรวจมัน พบว่าที่นั่นถูกทำลายโดยบางอย่าง มันอาจเป็นฝีมือของพนักงานที่ไม่พอใจการปิดกิจการของดิสนีย์ หรืออาจมีชาวบ้านมาทุบทำลายที่นี่ก็ได้
หลังจากที่ผมได้อ่านบทความนั้น ผมได้มีความคิดที่จะไปยังที่นั่นเพื่อถ่ายภาพ และเขียนบทความลงบล็อคของผมบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ว่ากลับไม่มีข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเลย แม้ผมพยายามหาใน Google ก็ตามแต่เว็บไซต์ต่างๆที่พูดถึงเรื่องนั้นมันกลับเชื่อมต่อไม่ได้
ดังนั้นเมื่อหมดหนทางผมจึงต้องไปค้นหาแผนที่เก่าๆ ซึ่งผมก็หาเจอได้ในไม่นานมันเป็นแผนที่ของพระราชวัง Mowgli ในสมัยก่อน

ผมขับรถไปที่บาฮามาสเพื่อที่จะหาข้อมูลมาเขียนบล็อคลงอินเตอร์เน็ต

เมื่อผมไปถึงที่นั่นสิ่งแรกที่สะดุดตาผมเป็นอยากแรกคือพวกชาวบ้านอยู่ไหน? พวกเขาหายไปไหน? หลังจากที่พระราชวัง Mowgli ปิดตัวลง ผมคิดว่าชาวบ้านอาจย้ายออกไปหมดแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด
ประตูทางเข้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ มันเป็นประตูไม้ผุที่สึกกร่อนตามกาลเวลา มีรอยถูกทุบทำลายและรอยกัดจากพวกแมลง บนประตูมีแผ่นโลหะที่เขียนตัวอักษรด้วยลายมือว่า

"ABANDONED BY DISNEY"

เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีใครมาเล่นพิเรนที่นี่แน่ๆ
ปราสาทมีรูปแบบเป็นปราสาทอินเดียขนาดใหญ่ ทางเข้ามันไม่กว้างพอที่ผมจะนำรถเข้าไปได้ ผมจึงคว้ากล้องดิจิตอล กับ แผนที่เข้าไปตามลำพัง ภายในอาคารค่อนข้างโล่ง มีเสียงหนูวิ่งกันไปมาตลอด ดูเหมือนว่าฟอนิเจอร์บางชิ้นถูกขนออกไป เหลือแต่เพียงสิ่งของใหญ่ๆ เช่น ต้นไม้ปลอมขนาดใหญ่
ผมพยายามเดินสำรวจทุกๆที่อย่างละเอียด ภายในห้องครัว มีกลิ่นอับของฉี่ซึ่งอาจเป็นฉี่ของพวกหนู ประตูหลุดออกจากบานพับอย่างน่าสยดสยอง ตู้โลหะมีรอยถูกกระแทกจนบุบ และมีตูเย็นขนาดใหญ่
ผมเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นออกดู ข้างในมันว่างเปล่ามีเพียงตะขอสำหรับแขวนเนื้อสัตว์กำลังแกว่งไปมาอยู่ ผมพยายามใช้มือจับให้มันหยุดแกว่ง แต่ทว่าเมื่อผมปล่อยมือออกมันกลับแกว่งไปมาเหมือนเดิม
"อะไรวะเนี้ย" ผมอุทานขึ้นเบาๆก่อนที่จะเดินต่อไปที่ห้องน้ำ
ในห้องน้ำมีแอ่งน้ำขังที่ส่งกลิ่นเหมือนบนพื้น กระจกในห้องน้ำบ้างก็แตกบ้างก็มีรอยร้าว ที่น่าแปลกก็คือเขาควรจะตัดการจ่ายน้ำให้กับที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่ทว่าอ่างน้ำกลับมียังน้ำรั่วออกมาอยู่ ผมอยู่ในห้องน้ำนั่นได้ไม่นาน เพราะบรรยากาศมันชวนอ้วกสุดๆ

ผมพยายามจะเดินสำรวจห้องทุกห้อง มีห้องที่เหมือนว่าจะเป็นห้องพักอยู่หลายห้อง ผมจึงจำเป็นต้องสำรวจเฉพาะห้องที่น่าสนใจ มีห้องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกหลอนอยู่ไม่น้อย ในห้องนั้นเมื่อผมก้าวเข้าไปผมได้ยินเหมือนกับเสียงกระซิบของคนสองคน ผมอาจหูแว่วไปเองก็ได้ แต่เสียงนั่นมันฟังเหมือนบทสนทนาว่า....

A: ผมไม่เชื่อ
B: (คำพูดสั้นๆที่ผมฟังไม่ออก)
A: ผมไม่รู้ ผมไม่รู้
B: พ่อของคุณบอกคุณ
A: (เสียงเหมือนเสียงร้องไห้)

มันอาจฟังดูไร้สาระ แต่อาจมีคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็ได้

ผมเดินออกไปจากห้องนั้น และได้สังเกตุเห็นสิ่งที่น่าสนใจ รูปปั้นงูสีดำขนาดใหญ่ สูงประมาณ 18 ฟุตตั้งอยู่ตรงหน้าผมที่หน้าประตูพระราชวังเมาคลี มันมาตั้งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง? ผมรู้สึกเอะใจแต่ก็ยังยกกล้องดิจิตอลขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปมัน ผมกดถ่ายรุปมันหลายๆครั้งผมเดินเข้าไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความคมชัดให้กับภาพ
ทันใดนั้น
หัวของมันค่อยๆขยับพร้อมกับดวงตาของมันค่อยๆเปิดออก สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นรูปปั้นงูขนาดใหญ่ยักษ์ มันกลับเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มันรีบเลื้อยเข้าไปในป่าใกล้ๆเหลือเพียงแค่หางที่โผล่ออกมา ด้วยความตกใจสุดขีดผมรีบวิ่งกลับเข้าไปในปราสาท
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดิสนีย์ทำบ้าอะไรที่นี่ ไอข้างนอกนั่นมันตัวบ้าอะไรกันแน่? หัวใจผมเต้นรัว พร้อมกับเสียงหายใจหอบ แฮกๆ ด้วยความตกอกตกใจ ผมพยายามมองหาพื้นดีๆเพื่อที่จะนั่งพัก แต่บนพื้นที่สกปรกขนาดนั้นผมไม่สามารถทนนั่งอยู่ได้
ผมเหลือบไปเห็นบันไดในซอกเล็กๆ มันเป็นบันไดลงสู่ชั้นใต้ดิน แม้ว่ามันจะมีฝุ่นเกาะอยู่มาก แต่ผมก็หยิบป้านเหล็กที่ติดอยู่บนผนังข้างๆมารองนั่ง สิ่งที่เขียนอยู่บนป้ายเหล็กแผ่นนั้นคือ

"ABANDONED BY DISNEY"

เอ่อ...บางทีมันอาจเป็นการก่อกวนเล็กๆน้อยๆของชาวบ้านที่เคียดแค้นดิสนีย์

เมื่อผมหายเหนื่อย ผมใช้แสงแฟลชจากกล้องส่งไปยังชั้นใต้ดินที่มืดสนิท ซึ่งมันมีประตูตะแกรงเหล็กขึ้นสนิมขวางอยู่ บนประตูเหล็กนั่นมีป้ายเขียนไว้ว่า

"MASCOTS ONLY! THANK YOU!"

มันเป็นห้องเปลี่ยนชุดของพวกพนักงานที่แต่งเป็นตัวการ์ตูนสินะผมคิดในใจ
ผมใช้เวลาไม่กี่อึดใจในการพังประตุเข้าไป ด้วยความเก่าของประตูทำให้มันไม่ยากเลยที่จะทำลายมัน ชั้นใต้ดินเป็นห้องขนาดใหญ่ บนพื้นมีข้าวของกระจัดกระจาย กระดาษเอกสารที่เหมือนจะละลายติดกับพื้น บนโต๊ะมีแก้วน้ำวางอยู่ ทางเดินคดเคี้ยวดุสับสนเหมือนเขาวงกต
หลังจากที่ผมใช้เวลาอยู่นานเดินวกวงอยู่ในชั้นใต้ดิน ผมก็เจอกับประตูสีดำมีลายเส้นสีเหลืองๆ บนบานประตูมีคำว่า "CHARACTER PREP 1" เขียนอยู่ ผมพยายามจะเปิดประตูออกดูแต่ก็ไม่สำเร็จ ประตูถูกล็อคจากนั้นใน ผมจึงตัดใจและเตรียมที่จะเดินออกไปจากที่นี่

แอ้ด~ เสียงบานประตูถูกเปิดอยู่น่าขนลุกได้ดังขึ้น
"อะไรวะเนี้ย" ผมบ่นเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องนั้น ผมใช้แสงแฟลชส่องเข้าไปในห้องนั้น มันเป็นห้องที่เก็บชุดของตัวละครคอสตูมต่างๆ เช่น โดนัล ดั้ก ถูกแขวนอยู่มากมาย สิ่งที่สะดุดตาผมคือชุดมิกกี้เมาส์ที่นอนเหมือนศพคนตายอยู่กลางห้อง สีของมันไม่เหมือนมิกกี้ที่เรารู้จัก ส่วนที่เป็นสีดำกลายเป็นสีขาว ส่วนที่ควรเป็นสาวขาวอย่างถุงมือกลายเป็นสีดำ กางเกงที่เป็นสีแดงกลายเป็นสีฟ้า แลดูน่าขนลุก
ผมเดินข้ามชุดมิกกี้เข้าไปหยิบหัวของโดนัล ดั้ก ขึ้นมาดู

"เพล้ง"

เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงแตกข้างล่าง ผมก้มลงดูที่เท้าของผม

"เชี้ยไรวะ" หัวกะโหลก กะโหลกของมนุษย์ หล่นลงมาจากหัวของชุดคอสตูม!!! ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมคือมันถึงเวลาที่ผมจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว แต่ก็ว่าผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างทางด้านหลังผม ผมหันหลังไปพบกับ...

ไอชุดมิกกี้ตัวนั้น! ตัวที่มีโทนสีสลับกับของจริง ไอชุดคอสตูมบ้าๆตัวนั้น มันค่อยลุกขึ้น ไม่สิ มันเหมือนกำลังมีบางอย่างใส่มันอยู่! ไอเวรเอ้ย มันต้องมีคนใส่ชุดมิกกี้ตัวนั้นอยู่
“เฮ้…นายอยากเห็นอะไรดีๆมั้ย?” เสียง! เสียงแหลมๆของมันทำผมประสาท มันลุกขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมิกกี้เมาส์ พูดพร้อมโบกมือมากับผม ผมชาไปทั้งตัวด้วยความกลัวแบบสุดขีด ไอบ้านั่นมันค่อยๆใช้มือถอดหัวของมันออกมา
เสียง ครอก แครก ของผ้าและเนื้อที่ค่อยๆหลุดออกมาจากบ่าของมัน ทันทีที่หัวหลุดออกมา มีเลือดออก! เลือดออกมาจากคอที่ไร้หัวของผู้สวมชุดมิกกี้! ใช่แล้ว บ้าจริง!หัวของมันขาดออกมาเลย มีเลือดสีเหลืองไหลออกมา เลือดเหนียวหนืดไหลออกมาจากคอของมัน
ผมวิ่งหนี วิ่งและวิ่ง ผมควรวิ่งตั้งนานแล้ว วิ่งออกไป วิ่งฝ่าเขาวงกตออกไปจนถึงหน้าประตูของพระราชวัง สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นคือป้ายที่เขียนว่า
"ABANDONED BY GOD"
ใช่ผมเข้าใจประโยคพวกนั้นแล้ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาทิ้งที่นี่ให้รกร้าง และผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
ผมไม่เคยเขียนบล็อคเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผมไม่เคยกลับไปดูภาพที่ผมถ่าย
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/252650524896900/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 42

เรื่องที่ 31"The Tundra"

ชนพื้นเมืองในแถบนี้เล่าขานกันว่าส่วนหนึ่งของทุ่งทุนดราทางตอนเหนือของที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณที่เป็นมิตร วิญญาณเหล่านี้จะมอบความรอบรู้และคำเตือนให้แก่ผู้ที่ไปเยือนมันในยามค่ำคืน เมื่อพระอาทิตย์ลับไปแล้วและความมืดมิดปกคลุมโลก ผมขับรถออกไปกลางทุ่งน้ำแข็งนั่นแล้วก็รอ ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นอะไรก็ตามที่ทำให้คนเหล่านี้เคารพมัน พวกเขาส่งลูกๆของตนออกมาในคืนก่อนครบรอบวันเกิด15ปีเพื่อพบกับวิญญาณเหล่านี้ ห่มด้วยขนสัตว์หนาเพื่อไม่ให้แข็งไปซะก่อน เมื่อพวกเขาผ่านมันมาแล้ว เด็กๆก็จะวิ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่และบอกเล่าสิ่งที่รู้ จากนั้นเด็กคนนั้นก็จะนับเป็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้น คู่รักจะไปเยือนทุ่งทุนดราในคืนก่อนแต่งงาน ทั้งหมู่บ้านจะเฝ้ารอพวกเขากลับมาตลอดคืน เพราะเมื่อพวกเขากลับมานั้นทั้งคู่ก็จะตัดสินใจได้ว่าจะแต่งงานกันหรือล้มเลิกเสีย พวกผู้เฒ่าจะไปยังทุ่งทุนดราเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย และบ่อยครั้งที่อาการหนักขึ้นเพราะการอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นตลอดคืน แต่เมื่อพวกเขากลับมานั้น มีบ่อยครั้งที่จะมีท่าทีสงบอย่างมาก

ด้วยเหตุนั้นผมจึงเฝ้ารอ ด้วยใคร่เห็นในปรากฏการณ์ที่อาจมีอิทธิพลต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง ผมเฝ้ารออยู่หลายชั่วโมง สวมเสื้อขนสัตว์กันหนาวนั่งรอบนกระโปรงรถกระบะของตัวเอง ผมรอจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกำลังจะแข็งตายทั้งที่สวมชุดหนาขนาดนั้น

ผมได้ยินเสียงของวิญญาณก่อนจะเห็นตัวมัน เสียงบดหิมะท่ามกลางความเงียบงันนั้นทำให้ผมกระโจนลงจากรถแล้วหันกลับไป ชายผิวสีเทาหลังค่อมยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร ดวงตาสีเหลืองเศร้าสร้อยนั้นมองผมกลับมาจากหัวกะโหลกที่มีผมมันๆขึ้นอยู่ไม่เท่าไหร่ เขาหอบหายใจอย่างหนักสั่นสะเทือนซี่โครงอันบอบบางนั่น และแขนข้างหนึ่งก็ดูเหมือนมันจะแตกละเอียดแล้วก็ไม่ได้รับการดูแล ปล่อยให้มันต่อกันเองอย่างผิดรูป ขาที่กางออกนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลร้ายแรง ชายคนนั้นมองผมอยู่ราวสิบวินาทีได้ หายใจเอาอากาศเย็นเข้าไป แล้วหายใจออกเป็นไอชื้นน่าขนลุก ก่อนจะหายตัวไปเมื่อผมกะพริบตา

ผมมองหาเขาไปรอบๆ แต่เขาหายไปแล้วจริงๆ เมื่อไปที่ที่เขาเคยยืนอยู่ ผมพบรอยเท้าเปื้อนเลือดคู่หนึ่งบนผืนหิมะ ด้วยความคุ้มคลั่งเพราะหวาดกลัว ผมขึ้นรถแล้วกลับไปหมู่บ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่หิมะอำนวย ชาวบ้านสองสามคนรอผมอยู่ตอนที่ผมไปถึง รู้ว่าผมไปไหนมาและอย่างรูในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ผมรีบลงจากรถลงไปหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด "ไอ้วิญญาณพวกนี้มันเป็นมิตรยังไง? อะไรที่มันรอบรู้นัก? พวกมันช่วยพวกคุณยังไง?"

"คุณเห็นอะไรเหรอ?" เขาถาม สีหน้าของเขาตอนนี้สะท้อนความกลัวของผมราวกับกระจก "ผมเห็นผู้ชายที่พิการอย่างน่ากลัวแล้วก็ป่วยหนักด้วย!" ผมตะโกนใส่หน้าเขา แล้วชาวบ้านที่อยู่รอบๆก็ถอยออกไปห้าวหนึ่ง "ทำไม? นั่นหมายถึงอะไรกันแน่?" ผมขอร้องเขา "วิญญาณพวกนี้บอกอยู่เรื่องเดียว" ชายคนนั้นอธิบาย "พวกเขาให้เห็นตัวผู้ไปเยือนเอง หนึ่งปีในอนาคต"
ที่มา https://sites.google.com/site/kurunisan/home/creepypasta/other-pasta/the-tundra

ความคิดเห็นที่ 43

เรื่องที่ 32 "Lighthouse"

กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นมีเกาะเล็กๆที่ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ใดๆอยู่เกาะหนึ่ง ไม่มีเกาะอื่นที่มองเห็นเกาะนี้ได้ และก็ไม่สามารถแลเห็นแผ่นดินใดๆจากบนเกาะนี้ได้เช่นกัน บนเกาะนี้มีประภาคารซึ่งไม่เคยสว่าง ผุพังด้วยกาลเวลาและน้ำทะเล ข้างในนั้นไม่มีอะไร เว้นแต่เพียงบันไดวนที่นำไปสู่ด้านบน กับชั้นหนังสือโบราณฝุ่นเขรอะ

ชั้นหนังสือนั้นเต็มไปด้วยหนังสือไร้เครื่องหมายที่ห่อปกด้วยหนังโบราณ เว้นแต่เพียงช่องเดียวเท่านั้น หากคุณดึงหนังสือออกมาจากชั้น มันก็จะเปิดตัวเองบนมือคุณ แล้วถ้อยคำที่เขียนไว้ในนั้นก็จะกรีดร้องออกมาในอากาศ คุณต้องใช้กำลังปิดมันแล้วเก็บมันเข้าที่เดิม หาไม่แล้วสิ่งชั่วร้ายอันเป็นนิรันดรก็จะเป็นอิสระ แล้วคุณจะถูกบังคับให้แทนที่มัน ด้วยหน้ากระดาษ หมึก และปกหุ้มที่ทำจากเลือดและเนื้องหนังของคุณเอง

ทว่า หากคุณนำหนังสือที่ถูกต้องไปที่เกาะนั้นแล้วใส่มันเข้าไปในช่องที่เหลือ ประภาคารนั้นก็จะส่องแสงสว่าง ตราบใดที่แสงนั้นยังสว่างอยู่ โลกนี้ก็จะรื่นเริงด้วยแดนสวรรค์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยว่าความชั่วร้ายทั้งมวลนั้นถูกกักขังไว้ในประภาคารนั้น และตราบที่มันยังส่องแสงสว่างก็จะไม่มีสิ่งใดเข้าหรือออกไปได้

ปัญหาก็คือ คุณเองก็จะติดอยู่ที่นั่นไปตลอดกาลกับความชั่วร้ายทั้งหมดที่มนุษย์หรือทวยเทพเคยรู้จักหรือกระทำลงไป และทางเดียวที่จะออกไปได้ก็คือดับแสงนั่นซะ
ที่มา https://sites.google.com/site/kurunisan/home/creepypasta/other-pasta/the-lighthouse

ความคิดเห็นที่ 44

วันนี้มาแนวๆ pokemon เยอะหน่อยเพราะเจอเพจ https://www.facebook.com/pages/PokemonCreepypasta-TH/757445204272090 ซึ่งเป็น creepypasta ของ pokemon ส่วนใหญ่
เรื่องที่ 33 "Nurse Joy"

เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมจึงมีนางพยาบาลจอยอยู่เยอะเหลือเกินในเกมโปเกม่อน พวกเราทุกคนได้รับการบอกเล่ามาว่า เป็นเพราะเธอมีพี่น้องมากมาย

แต่ในความเป็นจริง เป็นไปได้หรือที่คนเราจะมีพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น...เราไม่มีทางรู้หรอก และพวกเธอก็ไม่อยากให้เรารู้เหตุผลที่แท้จริงเช่นกัน

มันเป็นเหตุผลที่ฟังดูเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นจริง แต่ฉันรู้ ฉันเห็นความจริง และฉันจะมาเล่าให้พวกคุณฟัง

ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อคุณก้าวเข้าไปในโปเกม่อนเซ็นเตอร์...

คุณตรงดิ่งไปหาเธอ จดจำเธอได้จากผมสีชมพูสดใสอันเป็นเอกลักษณ์

คุณทักทายเธอ เสียงของเธอหวานใสถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่สวยงามก็ตาม

คุณอาจจะคุยกับเธอ หรือไม่คุยก็ได้

เธอรับโปเกม่อนของคุณไป กลับหลังหัน ฟื้นฟูมันแล้วส่งพวกมันกลับคืน

นั่นคือกิจวัตรประจำวันของเธอ

เธอดูเมตตาและห่วงใยโปเกม่อนเหลือเกิน แต่นั่นเป็นแค่หน้ากากที่ปิดบังตัวตนอีกด้านของเธอเท่านั้น...

แต่ที่คุณไม่รู้ก็คือ เธอได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์สะกดรอยไว้กับโปเกบอลทั้ง 6 ลูกของคุณแล้ว เผื่อไว้ในกรณีที่คุณเผลอทำหลุด

ทำไมล่ะ? ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปในเซ็นเตอร์ เธอรู้ว่าคุณ "สมบูรณ์แบบ" บุคลิกของคุณเหมาะกับงานนี้ แถมคุณยังเป็นเทรนเนอร์ได้เพียงไม่นาน ยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี

อย่างไรก็ตาม เธอได้สะกดรอยตามคุณ ส่งสัญญาณเตือนพยาบาลจอยคนอื่นๆที่คุณอาจจะไปพบระหว่างทาง วิธีนั้นจะทำให้เมื่อคุณพบพยาบาลคนหนึ่ง...เอ่อ...พูดแค่ว่าพวกเขาจะสามารถ "ดูแล" คุณได้จะดีกว่า

ขณะเดียวกัน...ถ้าหากพยาบาลคนหนึ่งพบเทรนเนอร์ที่ต้องการ และเทรนเนอร์ผู้นั้นตัดสินใจนอนค้างคืนที่เซ็นเตอร์...เมื่อนั้น ความสนุกที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น....

เธอจะพาคุณไปที่ห้องพัก ส่วนมากจะเป็นห้องด้านหลังเซ็นเตอร์นั่นล่ะ

"ให้ฉันนำโปเกม่อนของคุณไปพักอีกห้องได้ไหมคะ?"เธออาจจะถามแบบนี้ ตอบ "ไม่"... ปฏิเสธอย่างเดียวเท่านั้น เธอพยายามทำให้คุณโดดเดี่ยวไร้ทางสู้

"สัมภาระทุกอย่างของคุณจะอยู่ในตู้ใบนี้ ทุกอย่างจะได้ปลอดภัยระหว่างที่คุณพักผ่อนนะคะ" เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่คุณคุ้นเคย แต่ไม่นานคุณจะเกลียดมัน พวกพยาบาลทำเช่นนี้เพื่อให้คุณจนตรอก แต่แน่นอนว่าคุณไว้ใจพวกเธอ และยอมให้เธอเอาสัมภาระของคุณไป

"ราตรีสวัสดิ์ พักผ่อนให้สบายนะคะ!" เธอพูด พยายามทำให้คุณสบายใจ แต่ถ้าหากสังเกตดีๆ จะพบว่านี่คือหน้ากากที่ปิดบังความตื่นเต้นของเธอไว้ต่างหาก

คุณรู้เหตุผลที่แท้จริงหรือยัง? ถ้าใช่ ก็จบแค่นี้ แต่ถ้าไม่...ขอให้อ่านต่อไป...

เวลาประมาณเที่ยงคืน ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นเมื่อรอบกายมืดสนิท สรรพชีวิตหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา (แต่แน่นอน ยกเว้นพยาบาลผู้น่ารักทว่าซาดิสม์ผู้นี้...)

ประตูห้องของคุณเปิดออกอย่างแผ่วเบา ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเธอฉลาดพอที่จะหยอดน้ำมันใส่บานพับประตู

เธอเข้ามาพร้อมกับเปลหาม(คุณก็รู้ แบบที่ใช้ขนย้ายคนไข้นั่นไง) ใบหน้าของเธอไม่ได้อ่อนหวานอีกต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นชั่วร้ายเสียมากกว่า เธอมีความสุขกับงานนี้ ถึงกับรักมันเลยล่ะ อะดรีนาลีนเริ่มหลั่ง ดวงตาเรืองแสงสีแดงเจิดจ้าทำให้ดูราวกับว่าเธอถูกปีศาจเข้าสิงไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะยังหลับสนิทอยู่ แต่พยาบาลผู้นี้ก็จะไม่ยอมเสี่ยงแต่อย่างใด เธอหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา

ไม่...ไม่ใช่ยาพิษอย่างแน่นอน มันคือสารสกัดจากผงหลับต่างหาก ชนิดเข้มข้นเสียด้วย แค่ออนซ์เดียวก็ทำให้คุณหลับได้ถึง 2 ชั่วโมงแล้ว ส่วนในเข็มฉีดยานั้น มีสารสกัดบรรจุอยู่ 10 ออนซ์...

เธอต้องการเวลามากที่สุดเท่าที่จะหาได้

คุณถูกหามไปด้วยเปลนั่น พาเข้าห้องที่มีแต่พยาบาลเท่านั้นที่จะเข้าได้

ถ้าหากคุณบังเอิญเห็นสภาพภายในห้องขึ้นมา นี่คือสิ่งที่คุณเห็น :

อวัยวะหลายส่วนหลายรูปร่างอยู่ในขวดโหลต่างขนาด เป็นอวัยวะส่วนที่ไม่ได้เปลี่ยนรูปอย่างสมบูรณ์

มีแม้กระทั่งอัณฑะเสียด้วยซ้ำ...ใช่...เธอตัดมันออก ลากร่างของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายมาวางใต้ใบมีด แล้วตัดมันทิ้ง เธอไม่กลัวเลือดแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว เธอดูดเลือดเก็บไว้ในขวดโหล...คุณก็รู้...เก็บไว้ดื่มไง และใช้เป็นเลือดสำรองได้ด้วย

ส่วนต่อมาคือส่วนที่เธอชอบที่สุด...

จอยหยิบมีดขึ้นมา แล้วบรรจงจรดปลายมีดลงกรีดร่างคุณตั้งแต่ต้นคอจนถึงหน้าอก เธอทำงานนี้อย่างเบามือเพราะว่าเธอมีความสุขกับมัน และถ้าคุณบังเอิญตื่นขึ้นมา คุณก็จะได้สัมผัสกับความทรมานอย่างช้าๆ ตอนนี้ผมของจอยไม่ได้เรียบร้อยเหมือนเก่าแล้ว มันชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ เขี้ยวงอกยาวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่...เธอไม่ใช่แวมไพร์

โอเค เธออาจจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...

รอยยิ้มของจอยตอนนี้ดูก้ำกึ่งระหว่างตัวตลกกับปีศาจ เธอหยิบขวดโหลเซรุ่มที่มี DNA ชนิดพิเศษออกมา พูดให้ชัดคือ DNA ของจอยนั่นเอง แต่ก่อนที่จะทำอะไรกับมัน จอยหันมาควักเอาอวัยวะภายในของคุณออกจนหมด ยกเว้นสมองและหัวใจ เธอเย็บปิดแผลของคุณ แต่ความจริงแล้ว นั่นไม่จำเป็นเลย

เซรุ่มต้องสัมผัสกับสมองโดยตรงจึงจะใช้การได้ ดังนั้น จอยจึงหยิบเลื่อยขึ้นมา เลื่อยยุคโบราณทั่วไปนั่นล่ะ เธอเลื่อยกะโหลกคุณจนกระทั่งมองเห็นสมอง ก่อนจะจัดการหยดเซรุ่มลงไป ภายในเวลาไม่กี่นาที ร่างของคุณก็จะดูเหมือนจอยมากขึ้น สมองและหัวใจกลับมาทำงานอีกครั้ง ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่น...อวัยวะของจอย เริ่มเติบโตขึ้นอีกครั้ง รอยกรีดทั้งหลายหายไป เหลือไว้แต่ผิวหนังที่สมบูรณ์แบบ

กระบวนการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันถัดมา ต้องการทำงานที่โปเกม่อนเซ็นเตอร์อย่างยิ่ง สาขาไหนก็ได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ DNA ของจอยยังช่วยบังคับให้คุณต้องหาเทรนเนอร์มาทำหน้าที่เป็นพยาบาลคนต่อไปแน่นอน มันมาพร้อมกับความสามารถในการทำทุกอย่างที่คุณเพิ่งโดนมาไม่นาน

อีกเรื่องก็คือ...คุณจะคิดว่าคุณเกิดมาเหมือนกับพวกจอยคนอื่นทุกประการ

แต่ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นด้วยล่ะ...ทำไมถึงไม่โคลนเอา อืม... ฉันเพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่าจอยคนแรกสุดต้องการครองโลกด้วยกองทัพจอยที่เต็มใจทำตามคำสั่งทุกประการ เพราะ DNA ของพวกเขาบังคับให้ต้องทำตามร่างต้นฉบับเสมอ แต่การโคลนนิ่งจะดึงดูดความสนใจคนอื่นมากเกินไป และเหตุผลที่ว่า "เพราะฉันมีพี่น้องมากมาย" ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลที่ดี

ตอนนี้คุณก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และคุณก็คงสงสัยว่าฉันรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร... อืม ใครกันล่ะที่อยู่กับพยาบาลจอยตลอดเวลา ใครกันล่ะที่คอยช่วยเหลือเธอเสมอ... ฉันไง! ฮาปินัส ความจริงแล้วฉันถูกสั่งไม่ให้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นโปเกม่อนก็ตาม

ดังนั้น คำแนะนำของฉันคือ ทุกครั้งที่คุณเขาโปเกม่อนเซ็นเตอร์ คุณกำลังแบกรับความเสี่ยงของคุณเอง อันที่จริง พยาบาลจอยชอบออกล่าเหยื่อด้วยตนเอง ดังนั้น ขณะที่คุณกำลังนอนหลับตามลำพัง หรือแม้กระทั่งเพียงแค่พักผ่อน อย่าได้คิดว่าคุณปลอดภัยเป็นอันขาด ฉันได้ยินมาว่าใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของเธอกำลังจับตามองคุณอยู่...

โอ้ ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้เหยื่อรายใหม่มาพอดี...และฉันคิดว่านั่นคือคุณ...

พยาบาลผู้นี้ซาดิสม์ดีแท้นะคะ ดังนั้น โปรดระวังทุกครั้งที่คุณก้าวเข้าเซ็นเตอร์.... หึหึหึ
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757626817587262.1073741829.757445204272090/759982607351683/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 45

เรื่องที่ 34 "ร่างที่ถูกฝังทั้งเป็น (Buried Alive Model)"

หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Buryman Script เคยเป็นสไปรท์ที่พบได้ในฉากสุดท้ายของเนื้อเรื่องหอคอยโปเกม่อน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของคาระคาระในปัจจุบัน จากรหัสที่ถูกกำหนดให้กับตัวละคร กล่าวได้ว่าผู้สร้างตั้งใจให้ตัวละครดังกล่าวเป็นบอสของหอคอย โดยเมื่อขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด บทสนทนาจะปรากฏขึ้นดังนี้

Buried Alive (BA) : นาย...อยู่ที่นี่
BA : ฉันถูกขัง...
BA : และฉันเหงา...
BA : เหงา...เหลือเกิน...
BA : มาเข้าร่วมกันฉันเถอะ...

เมื่อจบบทสนทนา ภาพจะตัดเข้าสู่ฉากต่อสู้ ภาพสไปรท์ของ Buried Alive ดูเหมือนกับซากศพมนุษย์ที่กำลังพยายามปีนขึ้นมาจากดิน มันถูกตั้งโปรแกรมให้มีมือขาวซีดสองข้าง เกงการ์ และมัค

น่าแปลกที่ไม่มีการตั้งโปรแกรมการแสดงผลของมันหลังจากที่ถูกกำจัดแล้ว

ดังนั้น เมื่อผู้เล่นเอาชนะมันได้ เกมจะค้างโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ตอนจบของฉากดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์นิรนามผู้หนึ่ง โดยในตอนจบนี้ ถ้าหากผู้เล่นแพ้ในการต่อสู้ ซากศพจะลุกขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า "ในที่สุด...เนื้อสด!" ตามมาด้วยตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเรียงติดกันเป็นพรืด

ซากศพนั้นจะเริ่มลากผู้เล่นลงหลุม และจะจบลงที่ข้อความ "Game Over" บนหน้าจอ อย่างไรก็ดี ภาพของซากศพที่ถูกฝังทั้งเป็นและตัวละครผู้เล่นยังคงปรากฏเป็นภาพพื้นหลังของฉากดังกล่าว

และที่น่าแปลกกว่านี้คือกระบวนการหลังจากจบฉากนี้ เมื่อผู้เล่นแพ้ ภาพซากศพดังกล่าวจะถูกบันทึกลงในหน่วยความจำของตลับ และเข้าไปแทนที่ภาพหน้าจอเริ่มต้นปกติ ดังนั้น เมื่อผู้เล่นเริ่มเล่นเกมอีกครั้ง จะพบกับภาพของร่างที่ถูกฝังทั้งเป็น และเพลงจากไฟล์ staticmesh.wav จะเริ่มบรรเลง

จุดประสงค์ของฉากนี้ไม่เหมือนกับตำนานเรื่องอื่น ๆ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ Lavender Town Syndrome และยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับคนที่คิดว่าแค่ภาพนิ่งยังไม่ชัดมากพอ มีแบบคลิปวิดิโอมาให้ด้วยค่ะ คนทำบรรยายได้ละเอียดใช้ได้เลย ถ้าอยากชม เชิญตามลิงก์นี้
http://www.youtube.com/watch?app=desktop&persist_app=1&v=SKhjx-pBg80
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757626817587262.1073741829.757445204272090/811746368841973/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 46

เรื่องที่ 35 " Courage The Cowardly Dog." สั้นๆแต่ชวนพิศวงอย่างแรงครับ

ตอน The Great Fusilli เป็นตอนสุดท้ายของ Courage The Cowardly Dog ซีซั่น 1 และจบลงด้วยฉากที่ Courage บังคับร่างไร้วิญญาณของ Murial และ Eustace เหมือนกับกำลังบังคับหุ่นกระบอกเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาดำเนินต่อไป ยิ่งคุณคิดถึงประเด็นนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรบกวนจิตใจมากขึ้นเท่านั้น ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าหลังจากซีซั่น 1 ตอนอื่นๆ ที่เหลือเป็นแค่ความคิดของ Courage เท่านั้น สองสามีภรรยาได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ แต่ Courage กลับพยายามหลอกตัวเองและหลอกเราทุกคนให้คิดว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757626817587262.1073741829.757445204272090/819296811420262/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 47

เรื่องที่ 36 "The expressionless"

ในเดือนมิถุนายน ปี 1972 หญิงสาวผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพยาบาล Cedars-Sinai โดยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงแค่เสื้อกาวน์สีขาวชุ่มเลือดห่อหุ้มร่างอยู่เท่านั้น ถ้าหากเรื่องเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมายังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว แต่มีบางสิ่ง...บางสิ่งเกี่ยวกับหญิงผู้นี้ ที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดอาการคลื่นไส้และอยากหนีไปให้พ้นๆ ด้วยความหวาดกลัว

อย่างแรกก็คือ...เธอดูไม่เหมือนมนุษย์เอาเสียเลย เธอดูคล้ายกับหุ่นจำลองชนิดที่พบได้ตามร้านเสื้อผ้าทั่วไปมากกว่า และที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถใช้มือหยิบจับสิ่งของได้ ทั้งยังมีเลือดเนื้อเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปทุกประการ ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนหุ่น ไม่มีคิ้ว และโปะเครื่องสำอางหนาเตอะ

มีซากลูกแมวตัวหนึ่งติดแน่นอยู่กับกรามของเธออย่างผิดธรรมชาติจนทำให้มองไม่เห็นฟันแม้แต่ซี่เดียว เลือดยังคงไหลอาบชุ่มเสื้อกาวน์และเจิ่งนองเต็มพื้น ทันใดนั้น หญิงสาวก็กระชากซากลูกแมวตัวนั้นออกมาจากปาก ขว้างมันออกไป แล้วล้มฟุบลงกับพื้น

ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามายังโรงพยาบาล จนถึงตอนที่เธอถูกพาไปทำความสะอาดร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการให้ยาระงับประสาท หญิงสาวดูทั้งสงบ ไร้อารมณ์ และไร้การเคลื่อนไหว แพทย์ตัดสินใจว่าการควบคุมเธอไว้จนกว่าเธอจะได้สติและไม่แสดงอาการขัดขืนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หญิงสาวไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้น และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ต่างรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องจ้องมองดูเธอนานเกินกว่าไม่กี่วินาที

แต่ในวินาทีที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามทำให้เธอเงียบนั่นเอง หญิงสาวก็ตอบโต้กลับด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล เจ้าหน้าที่สองนายถึงกับต้องช่วยกันกดร่างของเธอลงกับเตียง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังพยายามลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์เช่นเดิม

หญิงสาวค่อยๆหันไปมองแพทย์หนุ่มผู้หนึ่งด้วยดวงตาไร้อารมณ์ แล้วจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด....เธอยิ้ม

เมื่อเธอทำเช่นนั้น แพทย์หญิงคนหนึ่งถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความสะพรึงกลัว ในปากของหญิงสาวนั้นไม่ใช่ฟันของมนุษย์ หากแต่เป็นเขี้ยวยาวอันแหลมคม ยาวเกินกว่าจะที่หญิงสาวจะสามารถปิดปากสนิทได้โดยไม่เจ็บตัว

แพทย์คนหนึ่งหันกลับไปมองเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถามออกไป "แกเป็นตัวอะไรกันแน่?!"

หญิงสาวโน้มคอลงจนอยู่ในระดับไหล่เพื่อสังเกตท่าทางของชายหนุ่มผู้นั้น เธอยังคงฉีกยิ้มอยู่

ทุกอย่างหยุดนิ่งไปพักใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงของฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่ถูกเรียกตัวมากำลังเดินมาตามทางเดินเท่านั้น

ทันทีที่แพทย์หนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้า หญิงสาวก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ฝังเขี้ยวของเธอลงในลำคอของชายหนุ่ม เจาะคอหอยเขาแล้วปล่อยให้เขาล้มลงกับพื้น พยายามไขว่คว้าหาอากาศขณะที่กำลังสำลักเลือดของตน

เธอยืนขึ้นแล้วโน้มตัวลงไปหาเขา ใบหน้าอยู่ใกล้กันจนน่ากลัว ขณะที่สัญญาณชีพเริ่มจางหายไปจากดวงตาของชายหนุ่ม

เธอโน้มตัวใกล้เข้าไปอีก แล้วกระซิบที่ข้างหูเขา

"ฉัน...คือ...พระเจ้า..."

แววตาของแพทย์หนุ่มเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เขามองหญิงสาวลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทักทายเหล่าเจ้าหน้าที่รปภ. ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คงเป็นภาพของหญิงสาวที่กำลังดูดเลือดพวกเขา...ทีละคน

แพทย์หญิงที่รอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ตั้งชื่อหญิงสาวผู้นี้ว่า "The Expressionless" (ไร้ความรู้สึก)

ไม่มีใครได้เห็นหญิงสาวผู้นั้นอีกเลย...
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757626817587262.1073741829.757445204272090/773935229289754/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 48

เรื่องที่ 37 "The Bell Witch"


คุณเคยฆ่าสัตว์แปลกๆที่คุณพบเจอโดยบังเอิญหรือไม่ ? การกระทำท่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆแต่มันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

ในปี ค.ศ. 1817 ชายคนหนึ่งชื่อ จอห์นเบลล์ ได้ซื้อที่ดินจำนวนมากจากเกษตรกร ชื่อ โรเบิร์ตเคาน์ตี้ เทนเนสซี ไม่นานหลังจากที่เขาย้ายไปอยู่ที่นั่น ในขณะที่เขาล่าสัตว์ในที่ดินส่วนตัวอย่างเพลิดเพลิน เขาได้ยิงถูกสัตว์ประหลาดดดยไม่ได้ตั้งใจ
ปัง! เสียงปืนลั่นออกจากกระบอกปืนไรเฟิลล่าสัตว์ กระสุนเจาะเข้าร่างของสัตว์ประหลาด เขารีบตรงดิ่งไปดูสิ่งที่เขายิง มันเป็นสัตว์ประหลาด มีหัวเหมือนกระต่าย และ ตัวคล้ายสุนัข เขาตกใจมาก จึงรีบวิ่งกลับบ้านไป
ในเวลาต่อมา ครอบครัวของเขาเริ่มได้ยินเสียงประหลาดมันเหมือนกับเสียงสัตว์กำลังแทะไม้เสียงดังน่ารำคาญจากนอกบ้าน ทว่าเขากลับไม่พบต้นตอของเสียง ต่อมาเริ่มมีเสียงกระซิบประหลาดลอยมาตามลม ละเสียงระฆังที่ราวกลับว่ามีเหล่าวิญญาณกำลังใกล้เข้ามา
"ที่นี่คงมีของแถมมาให้แล้วล่ะ"
จอห์นเบลล์ตัดสินใจที่จะเชิญนักบวชมาชำระล้างที่ดินแห่งนี้ เสียงหัวเราะคิกคักของวิญญาณตามสายลม กระซิบว่า "มันไม่ได้ผล" ในระหว่างพิธี โต๊ะ เก้าอี้จำนวนมาก ถูกขว้างใส่เขาด้วยเวทย์มนต์ หรือ อะไรซักอย่าง แม้ว่าในมือของเขาจะถือไม้กางเขน และ น้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ตาม
เขาไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ แต่กลับทำให้มันเลวร้ายกว่าเดิม ในบางครั้งสิ่งของในบ้านของเขาจะพุ่งเข้าใส่ครอบครัวของเขาเองอย่างไม่มีที่มา ... มันอาจเป็นคำสาป

ข่าวเกี่ยวกับคำสาปนี้แพร่กระจายไปทั่ว แบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว มีคนจำนวนมากอยากมาพิสูจน์เรื่องของเขา หลายคนพยายามเข้ามาพิสูจน์
มีชายคนหนึ่งถึงกับมาค้างคืนที่บ้านของเขา แต่ในคืนนั้นเองชายคนนั้นก็รู้สึกเหมือนมีใคร หรือ อะไร บางอย่างคลานมาใกล้ๆเขาบนเตียง ชายคนนั้นตกใจสุดขีดจึงใช้ผ้าห่มคลุมสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วจับมันโยนใส่เตาผิง

ขณะที่สถานการณ์ทั้งหมดเริ่มเลวร้ายขึ้น สุขภาพของจอห์นเบลล์ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ เขาทุกข์ทรมานกับโรคประหลาดที่คุกคามร่างกาย แม้แต่หมอยังไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตลง ด้วยการถูกวางยา
ในงานศพของจอห์นเบลล์ ยังคงมีเสียงหัวเราะคิกคักของวิญญาณ ล่องลอยมาตามลม...
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary?fref=ts

ความคิดเห็นที่ 49

อาจจะไม่ได้ลงอีกซักพักใหญ่นะครับ
เรื่องที่ 38 "The Russian Sleep Experiment" เรื่องยาวมากครับแล้วก็สยองมากด้วย ขอใส่ - แทนย่อหน้าเพราะจะได้อ่านง่ายขึ้น (มั้ง)


-------นักทดลองชาวรัสเซียช่วงปลายปี 1940 ได้กักตัวนักโทษไว้ 5 นายให้ไม่ให้นอนเป็นเวลา 15 วันโดยใช้แก๊สชนิดหนึ่งเป็นตัวกระตุ้นไม่ให้นอนหลับ พวกเขาถูกกักขังไว้ในสภาพแวดล้อมที่ปิดตายแล้วส่งแก๊สออกซิเจนเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเพิ่อไม่ให้แก๊สนั้นฆ่าพวกเขา ซึ่งเป็นแก๊สที่มีความเข้มข้นสูง พวกเขามีเพียงแค่ไมโครโฟนและหน้าต่าง กลมๆหนา 5 นิ้วข้างในห้องเพื่อที่จะใช้สังเกตุการณ์พวกเขา ภายในห้องนั้นมีหนังสืออยู่หลายเล่ม มีเตียงนอนแต่ไม่มีเครื่องนอน มีน้ำและห้องน้ำ และมีอาหารแห้งอยู่พอสำหรับ 5 คนใช้ชีวิตได้ทั้งเดือน

-------นักโทษหรือหนูทดลองทั้งห้าคนนี้ถูกจับใช้เป็นเชลยศึก ซึ่งเป็นนักโทษจากสงครามโลกครั้งที่สอง

-------ทุกๆอย่างดูราบรื่นในห้าวันแรก นักทดลองได้ให้สัญญาแบบหลอกๆกับนักโทษว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระถ้าสามารถทำการทดลองสำเร็จ และไม่หลับเป็นเวลา 30 วัน บทสนทนาและกิจวัตรประจำวันของนักโทษจะถูกสังเกตุการณ์และจดบันทึก ซึ่งพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดใจในอดีตของพวกเขา แล้วน้ำเสียงของพวกเขาในการ พูดดูหดหู่ เศร้าหมองลงหลังจากสี่วันในการทำการทดลอง

-------ห้าวันต่อมานักโทษเริ่มพูดถึงสิ่งที่พวกเขาทำ หรือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาเป็นนักโทษอยู่ที่นี่ ต่อมาก็เริ่มแสดงอาการหวาดระแวงอย่างรุนแรง พวกเขาเริ่มหยุดพูดซึ่งกันและกัน แล้วเริ่มสลับกันมากระซิบที่ไมโครโฟนและส่องดูตัวเองผ่านหน้าต่างที่มีอยู่อันเดียวในห้องนั้น นักโทษทั้งหมดดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระถ้าพวกเขาไม่ยุ่งกับพวกเดียวกันแล้วมาเข้าฝั่งเดียวกันกับรัสเซีย ในตอนแรกนั้นนักวิจัยคิดว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากแก๊สที่ทำให้นักโทษไม่นอนหลับก็เป็นได้

-------เก้าวันต่อมาหนึ่งในห้าคนนั้นเริ่มกรีดร้อง เขาวิ่งไปที่มุมห้องแล้วแหกปากโวยวายซ้ำไปซ้ำมาสุดเสียงของเขาเป็นเวลาสามชั่วโมงตรง เขาพยายามที่จะร้องต่อแต่เขาไม่มีเสียงเหลือแล้ว จะออกมาก็แต่เสียงแหลมเล็กๆออกมาเป็นครั้งคราว นักทดลองคิดว่ากล่องเสียงของเขาคงฉีกขาดแน่ๆ สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดของการทดลองนี้คือไม่ว่านักโทษจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือไม่มีปฏิริยาอะไรเลยก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไปกระซิบที่ไมโครโฟนอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งนักโทษคนที่สองเริ่มที่จะกรีดร้อง นักโทษที่เหลือได้หยิบหนังสือแล้วเดินห่างออกไป แล้วเริ่มละเลงหนังสือทีละหน้าทีละหน้าด้วยอุจจาระของเขา แล้วเอามันไปแปะที่หน้าต่างอย่างใจเย็น เสียงกรีดร้องนั้นได้หยุดภายในพริบตา

-------แล้วเสียงกระซิบของไมโครโฟนล่ะ?

-------สามวันผ่านไป นักทดลองได้ตรวจไมโครโฟนอยู่เป็นชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังใช้การได้อยู่ เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆมันจะไม่มีเสียงมาจากคนห้าคนภายในห้องนั้น แถมแก๊สออกซิเจนที่ส่งเข้าไปที่ห้องตลอดนั่นหมายความว่าทั้งห้าคนจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน ในตอนเช้าของวันที่ 14 นักทดลองได้ใช้เครื่องอินเตอร์คอม (เครื่องติดต่อภาย ใน) โดยหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากนักโทษ ซึ่งพวกเขาเกรงว่านักโทษได้ตายไปแล้วนักทดลองได้พูดไปว่า "พวกเราจะเปิดห้องทดลองเพื่อตรวจไมโครโฟน ถอยห่างออกไปจากประตูแล้วนอนราบลงไปกับพื้นไม่งั้นพวกคุณโดนยิงแน่ พวกคุณควรยอมเชื่อฟังทุกอย่างจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระได้ในไม่ช้านี้แน่นอน"

-------มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นเมื่อมีเสียงตอบรับจากนักโทษคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "พวกเราไม่อยากถูกปล่อยตัวอีกแล้วล่ะ" หลังจากห้องทดลองถูกเปิดออกมา ห้องที่เต็มไปด้วยแก๊สต่างๆก็หมดไปมีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทน ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากไมโครเฟนสามเสียงต่างกัน เริ่มขอร้องให้นักทดลองนั่นเอาแก๊สเข้ามาในห้องเหมือนเดิม ห้องทดลองถูกเปิดแล้วทหารก็เข้าไปดูอาการของนักโทษ นักโทษเริ่มกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม เมื่อทหารได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในห้องนั้น สี่ในห้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงไม่มีใครเรียกสี่คนนั้นอยู่ในสภาพที่เหมือนกับ "มีชีวิตอยู่"

-------ปริมาณอาหารนั้นหมดไปตั้งแต่ห้าวันที่แล้ว
ทหารได้พบก้อนเนื้อต้นขาของนักโทษที่ตายไปแล้ว หน้าอกถูกทิ้งไว้ที่ท่อระบายน้ำตรงกลางของห้องทดลอง ท่อตันจึงมีน้ำไหลออกมาเต็มห้อง ซึ่งตอนนี้ห้องเต็มไปด้วยเลือดที่ผสมกับน้ำ กลายเป็นน้ำเลือดแดงไปทั่วห้องทดลอง นักโทษทุกคน"ที่รอดชีวิต"มีชิ้นส่วนอวัยวะและผิวหนังที่ถูกฉีกออกไปจากร่าง ของพวกเขาเอง นักทดลองเห็นกระดูกที่โผล่ออกมาจากปลายนิ้วซึ่งแผลนั้นถูกทำโดยมือของพวกเขาเอง ซึ่งนักทดลองตอนแรกคิดว่าแผลพวกนั้นอาจเกิดจากฟัน เมื่อสังเกตใกล้ๆตำแหน่งและขนาดของบาดแผลแล้ว นักทดลองคิดว่านักโทษสี่คนนี้ได้ทำการทรมานตนเอง อวัยวะเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารของนักโทษทั้งสี่นั้นถูกเอาออกไปเกือบหมด ในขณะที่หัวใจ ปอดและกะบังลมยังคงอยู่ ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ติดกับกระดูกก็ได้ถูกฉีกออกไป เผยให้เห็นปอดข้างในซี่โครง เส้นเลือดต่างๆยังอยู่ครับถ้วน พวกเขานอนอยู่กับพื้น คว้านท้องให้กระจัดกระจาย ระบบย่อยอาหารของทั้งสี่คนยังทำงานได้เป็นปกติ หน้าท้องที่เปิดอยู่โดยปราศจากผิวหนังมาหุ้มแสดงให้เห็นข้างในว่าพวกเขาได้ย่อยอวัยวะของพวกเขาเองซึ่งตัดออกมากินลงไปตั้งแต่วันที่อาหารหมดแล้วนั่นเอง ทหารรัสเซียส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่นั้นเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แต่ทหารส่วนใหญ่ก็ปฏิเสธที่จะกลับเข้าไปที่ห้องทดลองนั้นอีก นักโทษยังคงกรีดร้องและขอให้ปล่อยแก๊สกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งนึง

-------ทุกคนเริ่มแปลกใจเมื่อนักโทษเริ่มต่อสู้ต่อต้านสุดกำลังเมื่อกำลังจะถูกนำออกจากห้องทดลอง ทหารรัสเซียคนหนึ่งตายเนื่องจากคอของเขาฉีกขาด คนอื่นๆก็บาดเจ็บอย่างหนักเนื่องจากลูกอัณฑะของเขาถูกฉีกออกและเส้นเลือดที่ขาของเขาก็ขาดออกจากฟันของนักโทษคนหนึ่ง ทหารห้าคนที่เหลือก็เสียชีวิต รวมกับทหารคนนึงที่ฆ่าตัวตายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

-------ระหว่างการปะทะนั้นเอง จู่ๆหนึ่งในสี่ของนักโทษที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เกิดอาการม้ามแตกแล้วกระอักเลือด หน่วยแพทย์พยายามจะรักษาเขา นักโทษคนนั้นถูกฉีดสารมอร์ฟีนมากกว่าสิบครั้ง แต่นักโทษคนนั้นก็ยังดิ้นสู้แบบสุนัขจนตรอก หักแขนหักขาของแพทย์นายหนึ่ง สองนาทีผ่านไปหลังจากที่เขากระอักเลือด หัวใจที่เต้นให้เห็นอยู่ตอนนี้ได้มีอากาศเข้าไปในระบบไหลเวียนโลหิตมากกว่าเลือดแล้ว เขายังคงกรีดร้องอยู่ประมาณสามนาที พยายามที่จะทำร้ายใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆเขาแล้วพูดคำว่า "เอาอีก เอามาให้มากกว่านี้" ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ

-------นักโทษสามคนที่เหลือถูกควบคุมอย่างรัดกุมแล้วย้ายไปยังสถานพยาบาล นักโทษสองคนที่กล่องเสียงยังปกติก็ยังคงตะโกนขอร้องให้มีการปล่อยแก๊สนั้นกลับมาเพื่อที่จะทำให้พวกเขาตื่นตลอดเหมือนเดิม

-------นักโทษทั้งสามที่บาดเจ็บสาหัสถูกพาไปยังห้องผ่าตัดห้องเดียวที่มีอยู่ ระหว่างเตรียมการผ่าตัดที่จะนำอวัยวะกลับเข้าไปในร่างกายของนักโทษร่างกายของนักโทษนั้นไม่ทำให้ยานอนหลับออกฤทธิ์ได้ เขาดิ้นรนอย่างรุนแรงกับที่รัดตัวเขาระหว่างที่ทีมแพทย์กำลังจะฉีดยาชาเข้าไป นักโทษคนนั้นพยายามที่จะฉีกยางหนังรัดที่พันธนาการร่างของเขากว้างประมาณสี่นิ้วบริเวณข้อมือของเขา จนต้องให้ทหารหนัก 200 ปอนด์มาควบคุมเขาจึงหยุด ทางแพทย์จึงฉีดยาชาเข้าไปมากกว่าเดิมนิดหน่อย ทันใดนั้นตาของเขาก็ปิดลง หัวใจของเขาหยุดเต้น ศพจึงนำไปชันสูตร แล้วพบว่าเลือดของนักโทษคนนี้มีระดับปริมาณออกซิเจนมากกว่าคนปกติถึงสามเท่า ผิวหนังยังติดกับกระดูกก็ฉีกขาด มีกระดูกหัก 9 ซี่ ซึ่งเกิดจากการต่อสู้กับทหารในตอนนั้น

-------นักโทษที่เหลือรอดคนที่สองก็เริ่มกรีดร้อง จนกล่องเสียงของเขาพังทำให้ไม่สามารถขอ หรือคัดค้านการผ่าตัดได้อีก สิ่งที่เค้าทำระหว่างการผ่าตัดคือสั่นหัวไปมาอย่างรุนแรงระหว่างที่ยาชากำลังจะเข้าไปในร่างกายเขา แต่ว่าครั้งนี้ทีมแพทย์จะลองผ่าตัดโดยไม่ใส่ยาชา นักโทษก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรระหว่างหกชั่วโมงในการนำอวัยวะกลับเข้าร่างกายแล้วปิดทับด้วยผิวหนังที่เหลืออยู่ของนักโทษคนนั้น มีความเป็นไปได้ทางการแพทย์ที่นักโทษคนนี้ที่จะมีชีวิตอยู่ พยาบาลคนนึงที่ได้อยู่ในการผ่าตัดครั้งนั้นได้บอกว่าเธอเห็นปากของนักโทษคนนั้นหงิกงอจนดูเหมือนเค้ากำลังยิ้มอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นักโทษคนนั้นมองหน้าเธอ

-------นักโทษสองคนที่เหลือก็เข้ารับการผ่าตัดเหมือนคนก่อนหน้า ทั้งคู่ไม่ได้รับยาชาเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะโดนฉีดยาที่ทำให้เป็นอัมพาตระหว่างการผ่าตัดก็ตาม เพราะว่าทีมแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ถ้าคนไข้เอาแต่หัวเราะอยู่ตลอด หลังจากถูกฉีดยาที่ให้เป็นอัมพาตแล้วนักโทษก็เพียงแค่จ้องตานักทดลองเท่านั้น หลังผ่าตัดเสร็จ นักโทษกลับมาพูดได้ดังเดิมแล้วเริ่มถามหาแก๊สนั้นอีก ทางด้านนักทดลองถามนักโทษว่าทำไมนักโทษถึงต้องทรมานตนเอง ทั้งเรื่องที่ควักเอาไส้ในออกมาและเรื่องที่เอาแต่ร้องขอให้แก๊สกลับมา
นักโทษคนนึงตอบกลับมาว่า "ยังไงพวกเราก็จะไม่มีทางหลับเด็ดขาด"

-------นักโทษทั้งสามถูกส่งตัวกลับไปที่ห้องโดยที่นักทดลองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขาดี เหล่าทหารที่ช่วยเหลือนักทดลองมาตลอดโกรธนักทดลองที่ไม่สามารถทำให้การทดลองประสบความสำเร็จได้ ผู้บังคับบัญชาทหารอยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านักโทษนั้นกลับไปในห้องแล้วปล่อยแก๊สชนิดนั้นอีกครั้งนึง

-------ในขั้นเตรียมการก่อนที่จะปิดตายห้องทดลองนั้นอีกทีนั้น นักโทษทุกคนจะถูกเชื่อมต่อกับเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง (EEG) และถูกพันธนาการอย่างหนาแน่นโดยมีเบาะรองด้านหลัง ทุกคนประหลาดใจว่านักโทษทั้งสามหยุดที่จะต่อต้านตอนที่จะถูกพาเข้าไปรับแก๊สนั้นอีกครั้ง นักโทษคนนึงที่พูดได้อยู่ก็ได้ฮัมเพลงออกมาดังมากอย่างต่อเนื่อง นักโทษที่พูดไม่ได้ก็เบ่งกล้ามเนื้อขาให้มากที่สุดเท่าที่เค้าจะทำได้กับสายหนังที่พันธนาการร่างของเขาอยู่ นักโทษคนสุดท้ายได้ใช้มือจับหัวของเขาออกมาจากหมอนแล้วกระพริบตาซ้ำไปซ้ำมา ผลการตรวจไฟฟ้าคลื่นสมองของนักทดลองนั้นสร้างความประหลาดใจอย่างมาก คลื่นสมองส่วนใหญ่เหมือนคนปกติแต่บางครั้งก็เป็นเส้นตรงขึ้นมาอย่างลึกลับ มันดูเหมือนกับว่านักโทษแกล้งทำเป็นสมองตาย และกลับมาให้มีชีวิตใหม่ได้ เมื่อพวกเขามองไปที่กระดาษที่บันทึกคลื่นสมองนั้น นางพยาบาลคนนึงเห็นว่าตาของนักโทษที่กระพริบตาคนนั้นปิดลงไปเวลาเดียวกับที่หัวของเขากลับไปที่หมอน ก่อนที่เส้นกราฟกลายเป็นเส้นตรงยาวต่อเนื่อง จากนั้นหัวใจของเขาก็หยุดเต้น

-------นักโทษคนที่พูดไม่ได้นั้นเปลี่ยนจากการอัมเพลงไปเป็นการกรีดร้องในห้องทดลองนั้น คลื่นสมองของเขาแสดงให้เห็นเป็นเส้นตรงแบบเดียวกับนักโทษคนที่ไหลตายไป ผู้บังคับบัญชาทหารสั่งให้ปิดตายห้องทดลองนั้น ไปพร้อมกับนักโทษ ตัวเขาเองแล้วนักทดลองอีกสามคน นักทดลองคนหนึ่งได้ชักปืนออกมาแล้วยิงไปที่ผู้บังคับบัญชาคนนั้นกลางเบ้าตาตายทันที แล้วหันกระบอกปืนไปที่นักโทษที่พูดไม่ได้แล้วเป่าสมองกระจุย

-------จากนั้นเขาก็ชี้ปืนไปยังนักโทษที่เหลือคนสุดท้าย ยังคงถูกพันธนาการไว้กับเตียงเหมือนกับนักโทษทุกคน "กูจะไม่ถูกขังไว้ในห้องนี้กับไอ้พวกนี้หรอก ไม่แน่ๆกับมึง!" จากนั้นนักทดลองคนนั้นก็ถามนักโทษว่า "มึงเป็นใครกันแน่" "กูจะต้องรู้ให้ได้"

-------นักโทษคนนั้นยิ้ม

-------"คุณลืมไปแล้วยังงั้นหรือ?" นักโทษถาม "พวกเราคือคุณ พวกเราคือความคุ้มคลั่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณทุกคน ต้องการที่จะเป็นอิสระทุกช่วงขณะอยู่ภายใต้จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิต พวกเราเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะซ่อนอยู่ใต้เตียงของคุณทุกๆคืน พวกเราคือสิ่งที่คุณจะเงียบและทำเป็นไม่ขยับเมื่อคุณไปหลบอยู่ในสถานที่ๆพวกเราไม่สามารถเข้าไปถึงได้(เหมือนกับเหยื่อที่หลบการล่าจากผู้ล่า)"

-------นักทดลองคนนั้นหยุดชะงัก จากนั้นเล็งไปที่หัวใจของนักโทษแล้วยิง กราฟเครื่องตรวจคลื่นสมองของนักโทษคนนั้นกลายเป็นเส้นตรง นักโทษคนนั้นก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่พูดประโยคสุดท้ายออกมาว่า "เกือบที่จะได้เป็น....อิสระ....อยู่แล้วเชียว..."

ความคิดเห็นที่ 50

ขอบคุณครับ ยาวมากๆค่อยทยอยอ่าน แต่หลอนใช้ได้เลย

ความคิดเห็นที่ 51

เรื่องที่ 39 "ตุ๊กตาเดียวดาย"

มันเคยเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ เธอเคยนำมันไปด้วยไม่ว่าจะเป็นที่ไหน แห่งหนใดก็ตาม .. กำไว้อย่างเหนียวแน่นในมือน้อยๆ คู่นั้น ตุ๊กตากับเธอทำทุกอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะไปโรงเรียน นอนเคียงข้าง ทานอาหารเย็น แม้กระทั่งอาบน้ำตุ๊กตาตัวนี้ก็ยังถูกหิ้วเอาไปด้วย

ทั้งสองไม่เคยแยกจากกัน เด็กหญิงเคยสัญญาว่า ในวันแรกที่เธอจะได้เป็นเทรนเนอร์ เธอจะพามันไปด้วย เธอจะพามันไปด้วยไม่ว่าที่ไหนๆ เพื่อเอาไว้ระลึกถึงความหลังในวัยเยาว์

ถึงแม้ว่าตุ๊กตาตัวนี้จะดูแปลกประหลาดไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป มันคือของที่เธอชอบ ความแปลกประหลาดกลับกลายเป็นเอกลักษณ์ของตุ๊กตาตัวนั้น

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี เธอได้หันไปสนใจตุ๊กตาตัวอื่น การทอดทิ้งตุ๊กตาตัวเก่าเพื่อไปหาตุ๊กตาตัวใหม่มันอาจดูไม่เข้าท่า แต่ตุ๊กตาตัวนั้นก็ทั้งสกปรกทั้งเก่ามากแล้ว ตุ๊กตาตัวนั้นจึงถูกโยนทิ้งไป

มันนอนอยู่ในกองขยะ รายรอบด้วยถุงขยะและพลาสติกห่ออาหารมากมาย

ไม่เหมือนที่ที่มันเคยอยู่ .. ไม่เลย
.
.
.
.
.
.
แขนของตุ๊กตาขยับช้าๆ มือจิกลงบนถุงขยะสีดำ ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ ซิบที่เป็นปากขยับกลายเป็นบึ้งตึงโกรธแค้น

บาเน็ต (Banette) ได้โผล่ขึ้นมาจากกองขยะ พร้อมที่จะออกตามหาเด็กผู้หญิงที่ทอดทิ้งตัวเองคนนั้น
.
.
.
.
.
.
บ้านเรือนในละแวกนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ว่า .. นี่มันนานขนาดไหนกันแล้วนะ? บาร์เน็ตไม่ได้ใช้เวลาอยู่แถวนั้นนานเท่าไหร่ มันก็จะได้พบกับสาวน้อยคนนั้นอีกครั้ง และโอบกอดเธออย่างรักใคร่

ขยะ ล้อเล่นอะไรกัน ใครจะไปทิ้งได้? ตุ๊กตาสุดที่รักไม่สมควรที่จะได้รับการดูแลแบบนี้ เธอเก็บรักษาตัวโปรดตัวนี้มาตลอด เธอไม่เคยโยนมันทิ้งไปไหนนะ

ยิ่งมองเห็นบ้านที่คุ้นเคยใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ความไม่พอใจยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ บ้านของเธออยู่อีกไม่ไกลนัก อีกแค่ไม่กี่หลังเท่านั้น
.
.
.
.
.
ในที่สุด บ้านหลังนั้นก็อยู่ในระยะสายตา หน้าต่างเปิดอยู่ บาเน็ตลอยเข้าไปที่ปฏิทิน พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบรอบสิบขวบของเธอ เธอจะได้เป็นเทรนเนอร์ในวันพรุ่งนี้

บาเน็ตเฉือนปฏิทินอย่างแรงด้วยกรงเล็บของมัน จะเป็นเทรนเนอร์ยังงั้นเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก

การทำลายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ลำคอของตุ๊กตาทุกตัวถูกกรีดเป็นทางยาว นุ่นที่ถูกยัดเอาไว้ทะลักออกมา ตุ๊กตาเหล่านั้นร่วงลงพื้นอย่างเงียบเชียบ

ไม่ ..แค่นี้มันยังไม่พอ.. เด็กหญิงอาจจะซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ และสุดท้ายมันตัวนี้ก็จะถูกส่งกลับไปที่กองขยะเหมือนเดิม
.
.
.
.
.
แต่มันยังมีทางแก้ไขง่ายๆ อยู่ …อย่างน้อยนะ
.
.
.
.
เธอแทบไม่มีโอกาสได้กรีดร้องออกมา มีเพียงแค่เสียงคร่ำครวญอยู่ในลำคอขณะที่กรงเล็บเฉือนผ่านเนื้อ หลงเหลือไว้แค่เพียงรอยตัดเป็นทางยาวอยู่บนลำคอของเธอ
.
.
.
และแล้วเธอก็ไม่สามารถทอดทิ้งตุ๊กตาของเธอได้อีกต่อไป
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757447740938503.1073741828.757445204272090/761377807212163/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 52

ขอบคุณมากๆครับ อ่านเพลินกันเลย

ความคิดเห็นที่ 53

เรื่องที่ 40 "ข้อความ" สั้นสยองมาก ชอบแนวนี้อะ

-------อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องตลก เรื่องราวต่อไปนี้มีเหตุผลของมันอยู่ ขอให้คุณมาลองฟังผมดู
-------มองดูสิ ทุกคนเชื่อกันว่าในอนาคตเราสามารถจะเดินทางข้ามเวลาได้ใช่มั้ย โอเค ผมจะบอกอะไรให้คุณอย่างนึงคือ สิ่งที่คุณเชื่อมันเป็นไปได้แล้ว ผมมาจากโลกอนาคต ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่เชื่อผม แต่ผมพูดจริงๆว่าผมมาจากอนาคต มันเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในอดีต เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเรารู้สิ่งต่างๆดีกว่าแต่ก่อน
-------ข้างหลัง ของความสนุกทั้งหมด มันมีเรื่องเครียดอยู่เรื่องนึง เราไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีตของตนเองได้ และพวกเราไม่อนุญาตที่จะให้ติดต่อกับตัวเราในอดีตเด็ดขาด คือผมจะบอกคุณว่า ผมได้แหกกฎข้อนั้นซะแล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้คุณกำลังพูดอยู่กับตัวเองอยู่ คือผม ตัวคุณในอนาคตนั่นล่ะ ผมกำลังจะโดนประหารในไม่ช้า ผมรับโทษประหารนั้น ผมกำลังจะปกป้องคุณโดยการพูดกับคุณอยู่ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าการตาย ผมบอกคุณไปตรงๆไม่ได้ว่าจะให้คุณทำยังไง เพราะว่าอาจจะมีคนจับได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำเท่าที่จะทำได้ เชื่อผม ผมได้ส่งข้อความลับผ่านข้อความนี้แล้ว
-------คุณน่าจะลองอ่านคำแรกของทุกย่อหน้าแล้วมาเรียงต่อกัน เดี๋ยวนี้เลย

ความคิดเห็นที่ 54

อยากรู้เรื่อง mr.widemouth จัง

เจ้าตัวนี้ท่าทางน่าสนใจดี

ความคิดเห็นที่ 55

อยากได้ BOB ค่่ะน่ารักดี

ความคิดเห็นที่ 56

กลับมาแล้วครับผม คิดถึงกันมั้ยเอ่ย
เรื่องที่ 41 "The rake"

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ในหน้าร้อนปี ค.ศ.2003 มีข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาด มีคนหลายคนเป็นพยาน แต่ดูเหมือนว่าข้อมูลของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ในอินเตอร์เน็ตมันจะถูกลบไปจนหมดจากใครบางคน
ต้นปี ค.ศ. 2006 การพบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เริ่มแพร่กระจายไปมากขึ้น ผมได้ติดต่อคนบางส่วนที่พบเจอกับมัน และได้ขอบันทึกส่วนตัวของพวกเขาที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาด้วย

A Suicide Note: 1964

"ขณะที่ผมกำลังจะเริ่มชีวิตในวันใหม่ ขณะที่กำลังลืมตาตื่นสายตาที่เลือนลางของผมมองเห็นมัน ผมไม่สามารถนอนหลับได้เมื่อนึกถึงดวงตาของมัน และ ผมไม่สามารถที่จะตื่นได้อีก...ลาก่อน"

พบจดหมายสองฉบับที่จ่าหน้าถึงโรสและวิลเลียมในกล่องไม้

"ผมได้ภาวนาให้เขากล่าวชื่อของคุณ"

A Journal Entry (แปลจากภาษาเสปน): 1880

"ผมได้สัมผัสกับความกลัวที่เหนือคำบรรยายใดๆ ดวงตาของมันดำมืดและดูเหมือนว่าจะกลวงทะลุเข้าไปในข้างใน มือของมันเปียกชุ่มเลือดคาวๆ เสียงของมัน!@#$!@(ข้อความที่อ่านไม่ออก)"

A Mariner's Log: 1691

"มันมาหาผมขณะที่ผมนอนหลับ ขณะผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ปลายเท้าของผม เราจะต้องรีบกลับไปที่อังกฤษ เราจะไม่มาที่นี่อีก ตามคำบอกของThe rake"

From a Witness: 2006

สามปีที่แล้วตอนที่ฉันกลับมาจากน้ำตกในวันที่ 4 กรกฎาคม เราทุกคนเหนื่อยล้าจากกับเดินทางที่ยาวนาน เมื่อกลับถึงบ้านสามี ลูกๆ และตัวฉันเอง นอนบนเตียงเดียวกันด้วยความอ่อนแรง
กลางดึกประมาณตีสี่ ฉันถูกปลุกโดยสามีของฉันที่นอนอยู่ข้างๆ ฉันจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะหวาดกลัวกำบางสิ่งที่อยู่ปลายเตียง มันมืดมากฉันมองเห็นมันได้ไม่ชัดเท่าไหร่ มันมีรูปร่างเหมือนคน ดวงตาสีดำ หรือ อาจกลวงโบ๋ กรงเล็บยาวมากๆผิวหนังเปลือยสีเทา ในขณะที่ฉันเริ่มกลัวเมื่อมองเห็นตัวมันชัดขึ้นเรื่อยๆ มันใช้กรงเล็บแทงมาที่ลูกสาวที่อยู่ระหว่างฉัน กับ สามี เล็บของมันแทงทะลุลำตัวของเธอ "โอ้ย" ลูกสาวของฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

ด้วยความตกใจ สามีฉันกอดลูกที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ ส่วนฉันก็กำลังช็อคทำอะไรไม่ถูก ลูกสาวของฉัน คาล่ากระซิบข้างหูฉันเบาขณะที่กำลังจะสิ้นใจ "เขาคือ The Rake"
ในคืนนั้นเอง สามีของฉันขับรถพุ่งลงไปยังแม่น้ำอย่างไม่มีเหตุผล

เมื่อสามีกับลูกสาวของฉันเสียชีวิต ฉันที่กลัวว่าไอตัวบ้านั่นจะกลับมาอีกได้ย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆกับบ้านของพ่อแม่ ตอนนี้เหลืออยู่แค่ฉันกับลูกชายชื่อจัสตินเท่านั้น

ฉันและลูกชายย้ายไปอยู่ในโรงแรมใกล้บ้านพ่อแม่ของฉัน หลังจากที่จะตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ฉันได้มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้พบเจอ ฉันได้พบเจอกับคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้เหมือนกับฉัน เขาเรียกมันว่า the Rake
ฉันได้ตั้งกล้องดิจิตอลไว้รอบเตียงของฉัน ให้มันบันทึกทุกสิ่งตอนที่ฉันนอนหลับ ปลายสัปดาห์ที่สองหลังจากที่ฉันดูคลิปที่ถ่ายไว้ตอนที่ฉันนอนหลับ มีบางช่วงที่ภาพในวีดีโอมันเบลอไป แต่ฉันก็ยังคงตั้งกล้องไว้เหมือนเดิม
เมื่อตอนช่วงต้นสัปดาห์ที่สาม กล้องดิจิตอลได้บันทึกติดเสียงบางอย่างได้ ฉันรู้ว่ามันเป็นเสียงแหลมๆของ The rake ฉันไม่สามารถทนฟังมันได้จนจบ

ฉันไม่ได้เจอ The rake อีกเลยหลังจากที่มันทำลายชีวิตของฉัน ด้วยการพราก สามี และ ลูกสาว ไป

ฉันกลัวที่จะตื่นมาและพบกับอสูรกายที่นัยน์ตากลวงโบ๋ตัวนั้นอีก. . .แม้ว่ามันจะจ้องมองฉันอยู่ทุกคืน
ที่มา https://www.facebook.com/HowToScary/photos/a.252650551563564.1073741828.252620908233195/263756110453008/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 57

เรื่องที่ 42 "Closet Game"

เกมตู้เสื้อผ้าเป็นเกมเหนือธรรมชาติ หรือเกมผีชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้เล่นหนึ่งถึงสองคน เป้าหมายของเกมนี้คือการ "อัญเชิญปีศาจ"

คำเตือน : เกมนี้เป็นเกมที่อันตรายมากถึงมากที่สุด การเรียกปีศาจออกมาอาจทำให้ผู้เล่นถูกสิงหรือถูกลากไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดตลอดกาล

สำหรับเกมนี้ สิ่งที่ต้องใช้คือไม้ขีดไฟและห้องนอน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีตู้เสื้อผ้าในห้องนอนนั้นด้วย ผู้เล่นจะเล่นคนเดียวหรือหาเพื่อนมานั่งประกอบฉากด้วยก็ได้ ที่สำคัญคือเกมนี้ต้องเล่นตอนกลางคืน เกมนี้จะไม่ได้ผลภายใต้แสงอาทิตย์

ขั้นที่ 1 : หยิบไม้ขีดไฟ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน (ซึ่งมีตู้เสื้อผ้าด้วย !)

ขั้นที่ 2 : ปิดไฟทุกดวงในห้อง สำหรับเกมนี้ ห้องทั้งห้องจะต้องมืดสนิท ถ้ามีหลอดไฟในตู้เสื้อผ้าก็อย่าลืมปิดด้วย

ขั้นที่ 3 : เปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก้าวเข้าไปด้านใน แล้วปิดประตู

ขั้นที่ 4 : ยืนในความมืดราว ๆ 2 นาที โดยหันหน้าไปทางประตูตู้

ขั้นที่ 5 : หยิบไม้ขีดขึ้นมาถือตรงหน้าหนึ่งก้าน แล้วกล่าวว่า "เปล่งแสงสว่าง หรือไม่ก็ทิ้งฉันไว้ในความมืด"

ขั้นที่ 6 : ตั้งใจฟัง ถ้าผู้เล่นได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นมาจากด้านใน ให้รีบจุดไม้ขีดทันที แต่ถ้าผู้เล่นไม่ได้ยินเสียงกระซิบ หรือไม้ขีดไม่ติดขึ้นมาเอง จงอย่ากลับหลังหัน ถ้าผู้เล่นจุดไม้ขีดช้าเกินไปหลังจากได้ยินเสียงกระซิบ ผู้เล่นจะถูก "อะไรบางอย่าง" ดึงจากด้านหลังและพาไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดตลอดกาล

ขั้นที่ 7 : ดูให้แน่ใจว่าไม้ขีดติดตลอดเวลา อย่าทำมันดับ ถ้าไม้ขีดดับ ให้รีบจุดก้านใหม่ทันที

ขั้นที่ 8 : ถือไม้ขีดไว้ตรงหน้า ค่อย ๆ เปิดประตูแล้วก้าวออกมา อย่าหันกลับไป ปิดประตูตู้โดยห้ามหันกลับไปดูเด็ดขาด

---

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงเปิดตู้เสื้อผ้าในที่สว่างเสมอ ถ้าเผลอเปิดประตูตู้เสื้อผ้าทิ้งไว้ในความมืดยามค่ำคืน คุณจะเห็นปีศาจจ้องคุณมาจากในตู้นั้น...ด้วยดวงตาสีแดงลุกวาวเหมือนแสงจากไม้ขีดไฟ
ที่มา https://www.facebook.com/757445204272090/photos/a.757626817587262.1073741829.757445204272090/857738337576109/?type=1&theater

ความคิดเห็นที่ 58

สุดยอดมากๆ เลย ขอบคุณนะครับ

เรื่องหลอนฝรั่งนี้ก็ ใช่ได้เลยนะ

ความคิดเห็นที่ 59

สุดยอดมากๆ เลย ขอบคุณนะครับ

เรื่องหลอนฝรั่งนี้ก็ ใช่ได้เลยนะ

ความคิดเห็นที่ 60

ไม่ได้เจอนานเลย

ความคิดเห็นที่ 61

ย้ายที่อยู่แล้วนะฮะ http://creepypastathailand.blogspot.com/ เดี๋ยวมีบทความใหม่มาเรื่อยๆ

ความคิดเห็นที่ 62

ชอบมากๆเลยค่ะกระทู้แบบนี้ ขออีกเยอะๆนะคะเป็นกำลังใจ ><
ขอเล่าความรู้เพิ่มเติมเรื่องThe Suicide Portrait"ใน คห.12 นะคะ
จริงๆเป็นคาแรคเตอร์เจ้าหญิงในนิยายของผู้วาดค่ะ(เอามาจากเวปภาษาอังกฤษ บล็อกของเจ้าตัวนะคะ) เค้าบอกว่า "ได้ยินว่ามีข่าวลือเกี่ยวกับภาพวาดของเค้าเยอะแยะเลย จริงๆเป็นคาแรคเตอร์ชื่อเจ้าหญิง...(จำไม่ได้ว่าเค้าบอกว่าชื่ออะไรนะคะ) จากนิยายที่เขียนแนวแฟนตาซี ตอนแรกมีลายเซ็นคนวาดด้วย และไม่มีรัดเกล้า แต่เจ้าตัวแก้ใหม่ เพิ่มเครื่องประดับไปเพราะเห็นว่าเข้ากับเจ้าหญิงของเค้าดี"
ซึ่งในเวปมีทั้งภาพตอนวาดครั้งแรก และวาดแก้เลยค่ะ(ลายเซ็นก็ชื่อเขาเลย)

ความคิดเห็นที่ 63

(อันนี้ขอเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ไม่อยากเเปล)
It was in the middle of the night a boy named jung is playing his computer a minutes later he heard a loud noise so he go check it out then he was lost forever 1 years later his brother jeff trying to search for him and then he found jung sitting in his own room (jung rooms) he saw jung just look at him... so then jeff just asked jung "where have you been?" But jung didn't answered so then jeff trying to get to him but jung just look at him and jeff just can't walk to him and so then jung just walk to jeff then he pulled his knife out and he stabbed on jeff chest and then he killed jeff after the murderer there is no sighting of him anymore...


Function Used time : 0:0:0:0