บทรีวิวพิเศษ..กับอำนาจแห่งความกลัวและ“มานา”ในรูปของกระต่ายป่าอันทรงพลังกลางไพรลึกนาม : The Witch / 2015

กล่าวอ้างถึงหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งที่ใครหลายคนอยากจะชมกันหนักหนา… ว่ากันว่าหลังจากหนังเรื่องดังกล่าวถ่ายทำและตัดต่อภาพเสร็จ ผู้กำกับได้นำหนังเรื่องนี้ออกฉายชิมลางตามงานเทศกาลศิลปะหลายแห่งรวมทั้งในโรงภาพยนตร์จนได้กระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อกลับมา เว็บมะเขือเน่า Rotten Tomatoes ให้คะแนนมันถึง 90% ส่วนเว็บไซต์วิจารณ์หนังชั้นพระกาฬระดับแถวหน้าของโลกอย่าง IMDB ให้ 7.3 / 10 คะแนน(จากผลโหวตของสมาชิกจำนวน 15,371 คน / วันที่ 23 มีนาคม 2559) แน่นอน..ในฐานะที่มันเป็นหนังแนว Genres: Horror-Mystery การที่ IMDB กล้าลงคะแนนโหวตให้ขนาดนี้ถือว่า “ไม่ธรรมดาเลย” ใช่เรากำลังพูดถึงหนังเรื่องนี้ หนังที่มีชื่อว่า “The Witch / 2015” กันอยู่…

The Witch / 2015 เป็นหนังสยองขวัญที่มีการร่วมทุนการสร้างมากถึง 4 ประเทศคือ USA-UK-Canada และ Brazil โดยได้ Robert Eggers ทำหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ แกนหลักของ The Witch / 2015 นำเสนอเรื่องราวความน่ากลัวภายในสวนเกษตรกรรมกลางป่าลึกในศตวรรษที่ 17 ของประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งครอบครัวของชายวัยกลางคนกับลูกหลานในตระกูล William ได้ประสบพบเจออะไรบางอย่างอันสุดสยองขนหัวลุกที่นี่ หลังจากที่เขาและครอบครัวรวม 6 ชีวิตถูกเนรเทศออกมาจากเมืองใหญ่อย่าง New England ด้วยเหตุผลความขัดแย้งบางประการกับชาวเมือง
หลังถูกขับไสไล่ส่งออกมาจนต้องรอนแรมบนม้าเทียมเกวียนอยู่หลายคืน ครอบครัว William ก็เดินทางมาจนถึงกลางป่าลึกแห่งนี้(กลางป่าลึกใน New England อันไกลห่าง) ทั้งหมดตกลงร่วมกันว่าจะลงหลักปักฐานเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่นี่ William ชายวัยกลางคนหัวหน้าครอบครัว(รับบทโดย Ralph Ineson), Katherine ภรรยาและแม่บ้านแสนใจดีของลูกๆ(รับบทโดย Kate Dickie), Thomasin ลูกสาวคนโต-สาววัยรุ่นตอนปลาย (รับบทโดย Anya Taylor-Joy), Caleb ลูกชายคนรอง-เด็กวัยรุ่นตอนต้นจอมสอดรู้สอดเห็น(รับบทโดย Harvey Scrimshaw), กับลูกแฝดอีก 2 คน-วัยเด็ก, และทารกน้อย(ที่เพิ่งมาเกิดในสวนเกษตรกรรมกลางป่าลึกแห่งนี้ได้ไม่นาน) ทั้ง 7 ชีวิตใช้ชีวิตร่วมกันที่นี่ และไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานบางสิ่งบางอย่างสุดเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นเพราะสิ่งชั่วร้ายอันมีพลังแห่ง “มานา” กล้าแข็ง ณ กลางป่าแห่งนี้เข้าเล่นงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า… (Mana หรือ อำนาจเหนือธรรมชาติ / ว่าด้วยทฤษฎีและหลักทางมานุษยวิทยา / Anthropology-Concepts)

มันเริ่มจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของลูกคนสุดท้องในตระกูล ระหว่างที่ทารกน้อยนอนเล่นสนุกสนานกับพี่สาวคนโต และเสียงประหลาดก็เริ่มเกิดขึ้นกลางป่าลึก ดวงตาปริศนาอันลี้ลับในเงามืดของผืนป่าเริ่มจ้องมองอย่างไม่เป็นมิตรมายังบ้านของครอบครัว William สวนเกษตรกรรมกลางป่าและปศุสัตว์เริ่มส่งผลทางลบ และเลวร้ายลงในทุกๆวัน เมื่อพืชไร่ไม่ได้ผลผลิตตามฤดูกาล สัตว์เลี้ยงเริ่มล้มตาย แม่ไก่ไม่ยอมออกไข่ แพะนมเมื่อรีดออกมากลายเป็นสายโลหิตแดงฉาน กับดักที่วางทิ้งไว้ในป่า…ปรากฏว่ามันพร้อมกันทำงานทุกอันแต่กลับไม่มีสัตว์ตัวใดมาติดสำหรับเป็นอาหารแม้นตัวเดียวอย่างน่าประหลาด ครอบครัวนี้จึงได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก จนหัวหน้าครอบครัว(William) และบุตรชายคนรอง(Caleb)ตัดสินใจสะพายปืนเข้าป่าลึกยิ่งขึ้นเพื่อไปวางกับดักและล่าสัตว์ในสถานที่ๆแตกต่างออกไปจากทุกวัน กระทั่งพบเข้ากับกระต่ายป่าที่มีรูปร่าง-หน้าตา-และพฤติกรรมสุดประหลาดตัวหนึ่งเข้า William ตัดสินใจใช้ปืนยิงแต่กระสุนเหมือนจะพลาดและระเบิดคาปากกระบอกปืนพุ่งใส่นัยน์ตาตนเองจนได้รับบาดเจ็บ เจ้ากระต่ายประหลาดหนีไปได้ และแน่นอน…เรื่องราวมันยังไม่จบ!

ใช่…สิ่งชั่วร้ายกลางป่าลึกมันเพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งการหลับใหล เพราะนับจากวันนั้นเอง เรื่องราวห่าเหวสุดนรกแตกก็เดินย่างเข้ามาสู่ครอบครัวนี้อย่างกับสายน้ำของเขื่อนยักษ์ที่กำลังแตกออก พวยพุ่งสู่ตระกูล William อย่างบ้าคลั่ง เริ่มตั้งแต่การถูกคุกคามโดยกระต่ายประหลาดที่แอบเข้ามาเดินสำรวจภายในคอกเลี้ยงแพะช่วงกลางคืนอย่างชวนขวัญผวา, น้องชายคนรอง(Caleb)ที่ถูกอาถรรพ์ของป่าเล่นงานจนเสียสติและอาเจียนออกมาเป็นลูกแอปเปิ้ลเน่าจากในลำคอ, ลูกฝาแฝดที่ถูกอุปทานหมู่เล่นงานและเพ้อถึงภาพผีสางและความตาย, รวมถึงภาพหลอนที่เกิดขึ้นภายในบ้านอย่างชนิดคุ้มคลั่งทั้งวันทั้งคืน, และพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงที่แปรเปลี่ยนไปเหมือนมันรับรู้และเข้าใจภาษามนุษย์ คนดูจะได้ช่วยกันลุ้นระทึกว่า..เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับสถานที่แห่งนี้กันแน่ ครอบครัวนี้เป็นอะไรกัน และพวกเขา(และเธอ)จะสามารถก้าวข้ามพ้นเหตุการณ์อันสุดสะพรึงในครั้งนี้ไปได้อย่างไร ( ? )

**** (ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)
หลังจากอ่านโครงเรื่องโดยย่นของหนังเรื่องนี้จบ แวบแรกที่ผู้เขียนคิดขึ้นได้ก็คือ..แนวทางการนำเสนอมันช่างคล้ายกับ Eyes of Fire หรือชื่อไทย “อาถรรพ์วิญญาณไพร” หนังสยองขวัญรุ่นเก่าของผู้กำกับ Avery Crounse ในปี 1983 มาก(สมัยนั้นซื้อมาดูเป็นม้วน VDO) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง เข้าป่าลึกไปสร้างสวนเกษตรกรรมแล้วโดนอาถรรพ์ของป่าเล่นงาน เช่นกัน…

The Witch / 2015 เป็นหนังสยองขวัญแนว Horror-Mystery (สยองขวัญ-ลึกลับ-ชวนให้ขบคิด)ที่ไม่เน้นฉากชวนหวาดเสียว-ฉากโหดร้าย-และฉากเลือดสาดใดใด หนังเน้นขายความลึกลับซ่อนเงื่อนของปมที่บังเกิดขึ้นในแต่ละฉากภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความเชื่อแต่ครั้งเก่าแก่คร่ำครึ หนังสร้างความเชื่อให้คนดู..เชื่อว่าภายในป่านี้เองมีสิ่งลี้ลับอันแสนอันตรายซ่อนอิงแอบกายอยู่(ซึ่งผู้กำกับพยายามส่งกระแสความเชื่อมาสู่คนดูว่ามันจะต้องเป็น..แม่มดอันชั่วร้าย ?) รวมถึงพลังอำนาจของ “มานา” (Mana) หรืออำนาจเหนือธรรมชาติอันเป็นรูปแบบการกระทำของสิ่งชั่วร้ายที่มีผลต่อการกระทำ และสภาวะจิตของมนุษย์ ซึ่งเข้าเค้ากับลัทธิบูชาวิญญาณนิยม(หรือ Animism)ว่าในธรรมชาติมีวิญญาณซึ่งให้คุณให้โทษได้ (ในกรณีของหนังเรื่องนี้คือ ป่า และความลี้ลับของธรรมชาติ) นอกจากนี้หนังยังแสดงถึงอากัปกิริยาของคนที่ดูเหมือนเกิดอาการ “โดนของเข้า” หรืออาการบางครั้งก็เหมือนโดนผีสิง(ทรงเจ้าเข้าผี) และการเกิดอุปานหมู่(Mass Hysteria) หนังเล่นประเด็นที่กล่าวไว้ข้างต้นครบจริงๆ จึงทำให้มีภาพ-เรื่องราว-เสียงประกอบ-และสิ่งที่บังเกิดสู่สายตาคนดูเกิดความขัดแย้งภายในใจให้ขบคิดอย่างหนัก ว่าภาพและสิ่งที่โสตประสาทการรับรู้ของเรารับมานี่มันคืออะไรกันแน่ อะไรจริง อะไรปลอม อะไรถูก และอะไรผิด แม้นฉากจบของหนังผู้กำกับก็ยังทิ้งปริศนาไว้ให้คนดูได้ขบคิดว่า…จริงๆแล้วมันควรจบอย่างไรกันแน่ ( ? ) ซึ่งมันเป็นภาพของ Black Witch อันกำลังลอยล่องขึ้นสู่ปลายยอดไม้ใจกลางป่าลึกจนความมืดเข้าปกคลุม…

สรุป : แม้หนังเรื่องนี้จะดำเนินเรื่องอย่างเงียบๆ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่มันก็คือหนังสยองขวัญน้ำดี(อีกเรื่อง ณ ตอนนี้)ที่นักดูหนังสยองขวัญสายอินดี้สมควรหามารับชมให้ได้สักครั้ง แม้นมันไม่ดีที่สุด…แต่มันก็ OK ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่สำหรับนักดูหนังสยองฯสายโหดเลือดสาด…ไม่แนะนำให้ชมนะ(เพราะท่านอาจหลับได้ระหว่างหนังดำเนินเรื่อง 555+) ถ้าให้คะแนนความชอบส่วนตัวก็ซัก 7.8/10 คะแนนกำลังดีครับ (ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ)

อนึ่ง ชอบแนวคิดของผู้กำกับ Robert Eggers ที่อธิบายช่วงเวลาในการเกิดปรากฏการณ์ในหนังเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว คือเวลา ณ ช่วงศตวรรษที่ 17 (เพราะ… รอยต่อระหว่างกลางกับช่วงปลายของศตวรรษที่ 17 คือช่วงเวลาสุดท้ายที่มีการล่าแม่มดกัน ยุคนี้เองครับที่การแพทย์ในอเมริกาและยุโรปเริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นในหลายๆด้าน อาการหลายๆอย่าง เช่น อาการชัก หรืออาการที่เราเข้าใจกันว่าถูกผีเข้า และอาการของคนเป็นแม่มด เริ่มถูกอธิบายด้วยหลักการทางการแพทย์มากขึ้น จวบจนเวลาผ่านไปนานเท่านาน หลังจากปลายของศตวรรษที่ 17 พ้นไป ก็ไม่มีการล่าแม่มดอีกเลย…)