เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย (The Black Dahlia) ศพสยองข้างทาง   Share

อลิซเบธ ชอร์ต เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ใน เขตไฮด์ พาร์ค นครอสตัน บิดาเธอชื่อ คลีโอ อัลวิน ชอร์ต อดีตเจ้าของธุรกิจลานจอดรถ ผู้ผันอาชีพเป็นนักออกแบบและรับสร้างสนามกอล์ฟขนาดเล็กแทน ส่วนพีบี้ผู้เป็นมารดาลูกดกไม่ใช้ย่อย เพราะถ้ารวมเบธและเธอยังมีพี่น้องตามมาอีกสี่ รวมเป็นห้า

ทั้งเป็นเป็นลูกสาวล้วนๆ

ครอบครัวนี้ก็มีชีวิตรุ่งเรืองดีหรอกจนกระทั้งมันเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า "วอลล์ สตรีต ล่มสลาย" มันทำให้การเงินของคลีโอล่มจมไปด้วย แถมมันยังกระทบกับหุ้นของครอบครัวอีก ไอ้ที่กำลังตกต่ำก็เกิดอาการย่ำแย่ถึงขีดสุด......สุดทานทน

และจู่ๆ คลีโอผู้เป็นพ่อก็หายตัวไปเฉยๆ มีผ้ำบนรถอันว่างเปล่าของเขาจอดทิ้งไว้แบบไม่ดูดำดูดีค้างอยู่บนสะพานชาล์สทาวน์

ว่ากันว่าเขาโดสะพานตายแบบธุรกิจรายอื่น ๆ เขาทำกัน เพื่อหนีปัญหาทั้งปวง

เป็นอันว่าในค.ศ. 1930 คุณนายพีบี้ต้องรับปัญหาเลี้ยงลูกสาวตัวน้อย ๆ ถึง 5 คน ตามยถากกรรมตามลำพัต้องขอความช่วยเหลือจากสังคมสังเคราะห์ให้จ่ายเงิน สวัสดิการเป็นรายงให้เธอกับลูก และด้วยเงินอันน้อยนิดจำต้องย้ายไปบ้านที่คับแคบอย่างกับรังหนู

ด้วย ความคับแค้นขัดสน ชีวิตห่อเหี่ยว บี้กับลูกๆ มีวิธีหย่อนใจที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด คือการดูหนัง พวกเธอเข้าไปดูโรงหนัง ภาพยนต์กันจนหูตาแฉะ

การ หมกมุ่นกับภาพมายาจอเงินนี้เองทำให้อลิซเบธลูกสาวคนกลางของพีบี้ เกิดมีความฝันบรรเจิดเพริศแพร้วหนีออกจากโรคความจริงอันขื่นขมโหดร้าย

เธอเริ่มหลงใหลใฝ่ฝันอยากเป็นดาราเสียแล้วสิ

แม้ ครอบครัวจะยากจน แต่ลูกสาวทั้งห้าของพีบี้ก็มีเสื้อผ้าสะอาดได้ใส่กันไปโบสถ์ทุกๆ วันอาทิตย์ อลิซเบสนั้นเธอเป็นผู้หญิงสวย ใครเห็นก็ชม หนุ่มน่ะติดพันเป็นเกรียวอย่างกับแมลงวันตอมอึ

แต่เธอมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดทำให้เธอออกจากโรงเรียนก่อนกำหนด และมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเธอโต

เมื่อกลางคืน แทนที่จะหลับสบาย เธอต้องลุกขึ้นมาหอบตัวอย่างเวทนา การหายใจของเธอนั้นลำบากลำบนมากที่สุด

เมื่ออลิซเบธอายุ 16 เธอต้องออกจากบ้านตามลำพังมาอยู่ไมอามี่ รัฐฟลอริดา ตามลำพัง เพราะที่แมสซาซูเซตส์นั้นมันหวานเย็นไม่เหมาะกับเธอ

เธอหางานทำและรับจ๊อบเป็นนางแบบพลางๆ

ขณะที่เธออายุปีที่ 18 จู่ๆ แม่ของเธอได้รับจดหมายจากคลีโอ สามีของพีบี้ พ่ออลิซเบธที่ใครๆ ต่างว่าตายแล้วนั้นแหละ

เขา อ้างว่าพยายามเสาะหาลูเกียให้กลับมาอยู่ด้วย......แล้วที่ทิ้งลูกเมียล่ะ เขาก็อ้างอีกล่ะว่าที่ทิ้งไม่ใช้ไม่รัก เพราะถ้าไม่ใช้เขาตายหรือ พีบี้กับลูกๆ คงไม่ได้รับเงินสังคมสังเคราะห์ได้สะดวกจำนวนมากหรือ?

พี บี้อ่านแล้วไม่ยักโง่ เธอปฏิเสธคลีโออย่างหมดเยื่อหมดใย เธอถือว่านี้เป็นการทรยศหักหลังกันอย่างรุนแรง เธอกับลูกๆ ไม่ต้องการคลีโอเพราะทุกคนมีการงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว

แต่ อลิซเบธ ชอร์ต ไม่คิดอย่างนั้น เธอตกลงตามคำชวนของพ่อ ให้ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองแวลลีโฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย สถานที่ไม่ไกลจากฮอลลีวู้ด นครแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกแห่งความฝันของเธอ สถานที่เธออยากไปมากที่สุดในชีวิตนี้

แต่ เมื่อเธอไปถึง ไม่นานนักเธอกับพ่อก็มีเรื่องมีราว เข้ากันไม่ได้ พ่อโกรธมากหาว่าเธอเป็นตัวขี้เกียจ ชอบไปมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าทหารเรือจากกองทัพในเมืองนั้น ชนิดควงกันเที่ยวไม่ซ้ำหน้า

สุดท้าย อลิซเบธต้องออกจากบ้านไปทำงานในฐานทัพเรือเสียเลย โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานการเงินของราชนาวีที่แคมป์คุ้กสถานที่ฝึกทหาร

และที่นี้แหละที่ตำรวจสามารถระบุศพเธอด้วยรอยนิ้วมือ

เมื่อ ออกจากบ้านและครอบครัวมา เธอเปลี่ยนชื่อจากเบ็ตตี้เป็นเบธ ด้วยความงามและเสน่ห์เธอมักชนะการประกวดนางงามที่แคมป์คุกหลายต่อหลายครั้ง

เธอป๊อบปูลาร์มาก มีเพื่อนฝูงแวดล้อมเยอะแยะไปหมด

แต่ไม่นานเธอก็ออกจากงานเพราะถูกตำรวจจับข้อหาเมาสุรา จึงถูกส่งตัวกลับไปให้ผู้ปกครองที่เมืองเมดฟอร์ด ตามเดิม

ทว่า ไม่นานอีก เบธก็เดินทางมาใช้ชีวิตในฮอลลีวู้ด นครหลวงแห่งโลกภาพยนต์ สมดังไฝ่ฝัน เธอเช่าโรงแรมอยู่ โดยแชร์ห้องกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ลูซิลล์

แต่ในช่วงเวลาที่เบธกำลังตามล่าหาความฝันของตัวเองอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมขึ้น

จี ออเกตเต้ เพื่อนรักคนหนึ่งของเบธผู้ที่พาเธอรู้จักพวกดาราและผู้กำกับฯมากมาย ได้ถูกฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ ศพของเธอเปลือยเปล่าท่านล่างใส่แต่เสื้อนอนตัวเดียว และเธออยู่ในน้ำที่แดงฉาดเต็มไปด้วยเลือดสดๆ

จาก การชันสูตรพบว่าจีออเกตเต้ถูกฆ่ารัดคอตายด้วยผ้าเช็ดหน้าและชิ้นหนึ่งของผ้า เช็ดหน้านี้ถูกฉีกออกแล้วฆาตกรได้กระทุ้งมันเข้าไปในคอของจีออเกตต้า ทั้งยังพบร่องรอยการขมขื่นมนุษย์ผิดมนุษย์มนา

รอยศีรษะและหน้าท้องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตก่อนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

จีออเกตเต้ไม่ใช้ผู้หญิงธรรมดาเหมือนเบธ เธอมาจากครอบครัวฐานะดีมาก บิดาของเธออยู่คณะผู้ทำหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพล คนดัง

คดี นี้มืดมนแปดด้าน เพราะไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับกุมเขาได้ อีกทั้งครอบครัวของจีออเกตเต้ใช้อิทธิพลหนังสือพิมพ์ปิดข่าวอีก เพราะไม่อาจให้ข่าวของลูกออกสู่หูชาวบ้าน เดี๋ยวจะเอาไปประจาน

คดีนี้ก็ยังเป็นปริศนาคดีหนึ่งแต่ เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมในเวลาต่อมาสำหรับเบธ

โรคประสาท ความฝันสลาย

เส้นทางสู่ฮอลลีวู้ดของเบธไม่ง่ายเลย เธอเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นไม่ว่าไป ชิคาโก,เมดฟอร์ด

จนกระทั้งเธอย้ายกลับมาที่ ไมอามี่ บีช อีกครั้ง ที่นั้นเธอได้คบนักบินพันตรีนามว่า แมตต์ กอร์แดน
ไม่ นานหลังจากที่รู้จักกัน ผู้พันแมตต์ขอเบธแต่งงานและเธอตอบตกลง เบธเขียนจดหมายถึงแม่รำพันความดีสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมไปหมดของผู้พันนี้ ผู้ซึ่งเธอถวายมอบกายชั่วชีวิต หวังพึ่งพิงอิงแอบเขาตลอดไป

แต่ต่อมาผู้พันแมตต์ผู้ส่งไปประเทศอินเดีย ทำให้เธอกลับไปรอเมดฟอร์ดด้วยความหวัง แต่ ใช่ว่า เบธจะเก็บหัวใจไว้เขาคนเดียวหรอก เพราะทันทีที่กลับสู่บ้านเกิด เบธก็คั่วแฟนเก่าสมัยถ่านไฟเก่าเต็มไปหมด ขลุกนวดตัวกันทั้งวัน แต่เหลือเชื่อเธอยังรักษาพรหมจารีอย่างมหัศจรรย์

และแล้ววันหนึ่งเดือนพฤษภาคม 1945 เบธได้รับโทรเลขด่วน มันมาจากมารดาของผู้พันแมตต์

"ได้ รับจากกระทรวง แมตต์ตายแล้ว เพราะเครื่องบินตกขณะเดินทางออกจากอินเดียเพื่อจะกลับบ้าน ในความทุกข์โศกของครอบครัวเรา มีเธอรวมอยู่ด้วยเสมอ ช่วยภาวนาขออย่าให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง"

เบธอ่านก็รู้ว่าโลกนี้ถล่มทลาย ชีวิตและความหวังของเธอสูญสลายไปตามเขา

ดัง นั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืน เบธค้นเอาจดหมายของผู้พันแมตต์มากองไว้ตรงหน้า และเวียนอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหลุดออกจากโรคแห่งความจริง ลอยสู่โลกจินตนาการ เพราะเธอเที่ยวไปเล่าเป็นตุเป็นตะให้กับคนอื่นฟังว่า เธอแต่งงานกับผู้พันแมตต์เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาไปรับราชการที่อินเดีย เธอท้องกับเขาด้วยน่ะ แต่แท้งไปเสียก่อน

เธอพรรณนาจนตัวเองก็หลงเชื่อว่ามันจริง!

ฉายารักเร่สีดำ
หลัง จากที่สูญเสียแมตต์ไปกลางอากาศ เบธก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เธอแต่งหน้าตัวเองให้ดูคล้ายผี ใช้รองพื้นสีขาวโปะจนหน้าซีดเผือก ทาปากทาด้วยสีม่วงดำเข้มเหมือนศพตายซาก แล้วสวมชุดดำสนิท

เธอเดินทางไปฟลอริดา และขึ้นเหนือสู่ชิคาโก และแคลิฟอร์เนียเพื่อไปอยู่กับแฟนเก่าอีกคนหนึ่งของเธอ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง

แต่ชีวิตคู่เริ่มระหอกระแหง เพราะกอร์แดนอยากคั่วกับเธอ แต่เธอไม่ยอม อ้างว่าจะรอจนกว่าจะเข้าพิธีถูกต้องตามประเพณีดีงามแล้วเท่านั้น

สถานการณ์ที่เครียดขาดผึ่งตอนที่กอร์แดนอาละวาดบังคับให้เธอเลิกทำตัวเป็นสาวมากรัก ห้ามเที่ยวชายอื่นทั้งหมด!

เบธทนไม่ไหวหรอก นิสัยของเธอขาดผู้ชายได้ที่ไหนล่ะ และในที่สุด เธอก็ได้รับสมญานามว่า "แม่ดอกรักเร่สีดำ" ฉายานี้ได้มาจากหนังฮอลลีวูดที่กำลังฉายเรื่องหนึ่งชื่อ บลู ดาห์เลีย รักเร่สีฟ้า หนังดังของ เรย์มอนด์ แชนด์เลอร์

ด้วย เหตุนี้เองที่เบธมีพฤติกรรมแปลกๆ แต่งตัวประหลาดๆ ด้วย รองพื้นจนขาวซีด ไว้ผมยาว ใส่ชุดดำเดินไปเดินมา เบธ ชอร์ต ก็เลยถูกเรียกว่า "แบล็ค ดาห์เลีย" ไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

หลังจากตัดสวาทกับ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง เบธก็อาศัยอยู่นครลอสแอนเจลิส อาศัยเช่าห้องกับเพื่อนสาวจากบอสตัน ชื่อ มาร์จอรี่ แกรห์ม

ความฝันอยากเข้าวงการภาพยนต์ของเบธยังบรรเจิดไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับการบริหารเสน่ห์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทาลงสักนิด

มา ร์ติน เลวิส เจ้าของร้านขายรองเท้า แสดงเวทนาและปรานีต่อหญิงสาวตกงาน เงินขาดมือ ด้วยการมอบรองเท้าคู่สวยๆให้เธอฟรี และเธอก็ตอบแทนเขาด้วยการบริการพิเศษ ใช้ปากสวยๆ เป่าปี่ ให้ถึงอกถึงใจ แต่การรุกคืบทางเรือนร่างนอกเหนือจากนั้นไม่สำเร็จ เพราะแม่ดอกรักเร่ดำไม่ยอมเปิดทางไม่ว่าเป็นใครก็ตาม

นอก จากมาร์ตินแล้ว ชายอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเธอมีเป็นร้อย เป้นต้นว่า เรย์ คาซาเรียน เซลสืแมน ฮาล แมกไกวร์ นักขายโฆษณาทางวิทยุ นายทหารนอกราชการ เอ็ดวิน เบิร์นส์ แต่ละคนไม่มีใครเลยที่ได้แอ้มกินไข่แดงแม่ดอกรักเร่ดำเลย

เธอ อยู่กับมาร์จอรี่ไม่ได้นานนัก เบธก็ย้ายสถานที่เปลี่ยนที่นอนไปเลย ๆ หลาย ๆ ที่ ทุกคนที่เธอไปนอนด้วยบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เบธมักจะตื่นขึ้นตอนกลางดึก แล้วไอโขลก ๆ ยันรุ่ง แถมเบธชอบยืมเงินไปซื้อเครื่องสำอาง ยืมไปแล้วก็ลืมหน้าตาเฉย

ใน ที่สุดจุดหมายครั้งสุดท้ายของเบธ คือลอสแอนเจลิส โรเบิร์ต แมนลีย์ แฟนเก่าอีกคนของเธออาสาขับรถไปส่ง โดยไม่บ่นว่ามันไกลแสนไกลที่ไหน(เวลานั้นเบธอยู่ที่ซานดิเอโก)

วัน รุ่งขึ้น แมนลี่ย์ขับรถไปส่งเบธถึงลอสแอนเจลิสตามสัญญาณ เขาช่วยเธอแบกกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ในตู้ฝากที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ จากนั้นก้ส่งเธอเข้าโรงแรมบิสท์มอร์ ซึ่งทราบกันในที่หลังว่า เธอไม่ได้จองห้องพักแม้แต่ห้องเดียว แต่มีพยานหลายคนเห็นเธอใช้โทรศัพท์ของโรงแรมหลายครั้งหลายหน โดยโทรจากบูธในล็อบบี้โรงแรมนี้แหละ

แมนลี่ย์ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาส่งเธอเสร็จแล้ว ก็กลับ

พยาน เล่าว่าหลังจากที่เธอโทรศัพท์จนหูไหม้แล้ว เบธก็เตร่ไปเตร่มาแถวล็อบบี้นานเป็นชั่วโมงๆ หลายคนจำเธอได้ ก็เธอแต่งชุดไม่เหมือนใครด้วยสิ

พยาน คนสุดท้ายที่เห็นเธอมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือ พนักงานเฝ้าประตู เขาบอกว่าเห็นเธอออกไปตอนสี่ทุ่ม เดินหายไปในความมืดรัตติการแห่งนครลอสแอนเจลิส....ไปสู่การมรณกรรมอันแสนสยด สยองสุดขีด!

พบศพ

ศพสยองข้างทาง
ตอนสาย ๆ วันที่ 15 มกราคม 1947 ถนนนอร์ตัน สวนสาธารณะไลเมิร์ต ชานเมืองลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา
เบ็ตตี้ เบอร์ซิงเกอร์ แม่บ้านกำลังพาลูกสาวตัวน้อยแอนนี่เดินไปซ่อมรองเท้าของแก ที่สุดถนนนอร์ตัน ใกล้ๆ นี้เอง
เมื่อเดินผ่านสวนสาธารณะแอนนี่ลูกสาวตัวน้อยเหลือบไปเห็นของบางอย่างข้างทางเข้า
"มันเป็นร่างขาวโพลน นอนอยู่บริเวณบริเวณหญ้าที่ขึ้นรก มันเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่ชำรุด"
สอง แม่ลูกเข้าไปใกล้ตัวความอยากรู้อยากเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอเข้าไปดูใกล้ๆ เผยความจริงเธอถึงกับช็อก เพราะร่างนั้นไม่ใช้หุ่นแต่เป็นศพของผู้หญิงเปลือยโล่งโจ้ง ถูกหั่นบั่นเอวจนร่างขาดจากกันเป็นสองท่อนอย่างประณีต ราวกับอาวุธที่ใช้เป็นมีดหั่นเนื้อที่คมกริบ เอวเธอจึงขาดออก รอยแผลเรียบไม่มีเนื้อเยื่อหรือเอ็นขาดกะรุ่งกะริ่ง แม้ร่างแยกออกเป็นสองท่อน ใบหน้าของเธอยังดูยิ้ม นัยน์ตาเปิดอยู่ครึ่ง ๆ ปากเผยยิ้มน้อย ๆ และมุมปากเหยียดออกทั้งสองข้าง อย่างสยดสยอง
ส่วนท่องร่างก็สยองไม่แพ้ท่อนบน ด้วยมันเปลือยเปล่าและวิตถารที่สุดคือกระจุกเศษไม้ใบหญ้าที่ช่องเพศจนเปิดอ้า
ช่างน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกันกับนักดับเพลิงประจำท้องถิ่นผ่านมาถึงกับหยุดจอดเพราะนึกว่า รูปปั้นทิ้งไว้ แต่พอเห็นศพทั้งคู่ถึงกับโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง

ไม่กี่นาที ตำรวจทั้งสองนายก็มาถึงในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องค้นหาให้ยุ่งยากเลยว่าศพอยู่ไหน เพราะมันนอนเด่นเป็นสง่านั้นไง! ติดต่อกำลังเสริมด้วย คดีนี้ดังแน่ ๆ

ไม่นานพวกนักข่าว ช่างภาพ ประชาชนเริ่มเข้ามาสถานที่เกิดเหตุก่อนตำรวจเสียอีก และย่ำสถานที่เกิดเหตุจนเละเทะไปหมด

มันทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยุ่งยากไม่น้อยเลย

อย่าง ไรก็ตามตำรวจสรุปว่า สภาพโดยรวบที่พบศพ ไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ศพถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ตัวศพเองก็ขาวซีดเผือกเพราะเลือดไหลออกไปทุกหยาดหยดแล้ว แสดงว่าศพผู้ตายถูกฆ่าและหั่นจากร่างจากที่อื่น และฆาตกรเอาศพของเธอมาทิ้งที่ถนนนอร์ตันนี่

ประเด็นที่สำคัญคือ มันเอาศพเธอทิ้งทำไมตรงนี้?

ตรง ที่ศพนอนอยู่น่ะ มันเป็นเป้าสายตาสาธารณชนเดินผ่านไปผ่านมาเกือบตลอดทั้งวี่ทั้งวัน มันคล้ายกับฆาตกรจงใจโชว์ผลงานของมันให้ประชาชนเห็นได้ชัด ๆ

แล้วฆาตกรมันเอาศพมาทิ้งได้อย่างไร มันไม่ใช้ของง่าย ๆ น่ะจะบอกให้ ฆาตกรต้องเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นและจับได้คาหนัง คาเขาเลยที่เดียว

มีทางเป็นไปได้ว่าคนร้ายนำศพมาไว้ตรงนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่หนูน้อยแอนนี่จะไปเหลือบเห็นเข้า

แต่ ปริศนาก็คลี่คลาย เมื่อเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ทุกเช้าตรู่ เขาเห็นรถสีดำแล่นช้า ๆ มาตามขอบถนนใกล้ ๆ กับที่ทิ้งศพนั้น

ใน ที่สุดศพทั้งสองท่อนก็ถูกนำไปยังนิติเวช เพื่อชันสูตรและถ่ายรูปไว้อย่างละเอียดจากนั้นก็ถูกนำไปเก็บในช่องแช่แข็ง แช่ศพเพื่อทำรูปคดีต่อไป
จนได้ข้อมูลชวนสยองนี้เข้า.......

การชันสูตรศพ
ตาม ธรรมเนียมนิยมของตำรวจสหรัฐฯนั้น เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าศพของเหยื่อฆาตกรรมเป็นใคร เขาจะตั้งชื่อศพผู้หญิงว่า เจนโด แล้วใส่หมายเลขลำดับศพที่พบต่อท้าย

ในเวลานั้นศพถูกเรียกว่า เจนโด หมายเลข 1

เช้าวันที่ 16 มกราคม 1947 เจนโด หมายเลขหนึ่ง ถูกวางไว้บนเตียงเหล็กแคบ ๆ ผิวสัมผัสมันปลาบเย็นเฉียบใช้สำหรับการชันสูตรศพโดยเฉพาะ

แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชจัดการดึงเอาสิ่งที่ฆาตกรอุดไว้ในช่องเพศและช่อง ทวารหนักของเธอออกมา แล้วเขาก็พบว่าในทหารหนักมีเศษเนื้อและหนังเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยรวมอยู่ด้วย หลายก้อน

มันเป็นเนื้อที่ฆาตกรใช้มีดตัดคว้านจากบริเวณจากบริเวณขาอ่อนเธออย่างป่าเถื่อนทารุณ เห็นแล้วใจหาย

สิ่ง ที่ทำให้แพทย์งงงันจนหงุดหงิดยังมีมากกว่านั้น เพราะแม้ จะเอาคีมยาวคีบเศษดินออกจากช่องคลอด แต่มันก็ยังตันเหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่นั้นเอง

การชันสูตรนี้ สรุปเป็นรายงานได้ว่า

"...... มีรอยถลอกมากมายหลายซับหลายซ้อนบริเวณหน้าผากและแถวๆ ขมับซ้าย รวมทั้งแนวตีนผมเป็นรอยครูดเล็ก ๆ แต่ที่ผิวหนังก็ฉีดขาดจนมีเลือดออกซิบ ๆ ลำตัวถูกตัดขาดออกจากกัน ด้วยรอยผ่าที่เกือบเป็นแนวตรง ตัดลึกผ่านส่วนท้อง บริเวณเหนือหัวเหน่าที่รอยครูดลักษณะกากบาทเล็กๆ เต็มไปหมดทั้งท้องน้อย

ที่ ลำไส้และไตทั้งสองข้างมีรอยครูดและเลือดออก ท่อรังไข่เล็กนิดเดียว และไม่พบการตั้งครรภ์ มดลูก รังไข่ และช่องคลอดส่วนบนไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย....ในช่องคลอดส่วนถัดลงมามี ชิ้นส่วนเนื้อหลุดลุ่ยติดอยู่ เป็นเนื้อที่ปรากฏรอยช้ำและรอยถลอกหลายรอย

ไม่พบเชื้ออสุจิ แต่ก็คล้ายว่ามันถูกเช็ดหรือล้างออกหมดแล้ว

สันนิษฐาน ว่า รอยครูด รอยถลอก และการถ่างทวารหนักจนเปิดกว้างนั้น(วัดขนาดได้ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว) เกิดขึ้นจากผู้หญิงนิรนามคนนี้สิ้นใจแล้ว แต่กระนั้นเธอต้องดิ้นรนอย่างรุนแรงที่เดียวเลยเหละเพราะความเจ็บปวดแสน สาหัสจากการที่ฆาตกรใช้ของมีคมทารุณต่อร่างกายของเธอ!"

มันทำเช่นนั้นทำไม

การ ยัดเศษเนื้อเศษหญ้าไว้ในช่องคลอดก็เป็นปริศนาที่น่าคิดอีก จิตใจของฆาตกรรายนี้มันเคียดแค้นอะไรกันหนักกันหนา ทารุณขนาดนี้มันยังไม่หนำใจ มันถึงดึงถอนขนบริเวณหันหน่าเธออกเป็นกระจุกๆ....ตอนสดๆ แล้วยัดลงในทวารหนักของเธอด้วย

ใน กระเพาะอาหารเต็มไปด้วยของเหลวข้นๆ สีน้ำตาลอมเขียวเป็นลักษณะเป็นเม็ดๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคืออุจจาระของมนุษย์นี้เองและยังมีสิ่งที่ปนมากลับ อุจจาระนี้ด้วย แต่ไม่สามารถชี้ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่พบอสุจิ...."

จาก การชันสูตร ทำให้เราเห็นนาทีสุดท้ายอย่างชัดเจนเธอถูกทรมาน เจ็บปวดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์จะทานทนได้ และยังถูกบังคับให้ถูกกลืนอุจจาระจำนวนมาก จนอิ่มเต็มกระเพาะ!

เธอ ถูกข่มขื่นทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก แต่ฆาตกรสามารถกำจัดร่องรอยอสุจิของมันออกไปอย่างหมดจด เพราะหลังจากมันฆ่าเธอแล้ว มันลากศพเธอไปสระผมด้วยแชมพู เอาสบู่ฟอกเธอทั้งตัว!

แน่นอน! มันต้องหั่นศพของเธอเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว เลือดสดๆ ยังคงไหลลงท่อน้ำทิ้งไปทุกหยาดหยดจนหมดร่าง ดังนั้นผิวของเธอจึงซีดขาวเผือกเหมือนขี้ผึ้งและมันจนขึ้นเงา เมื่อมันร่างศพจนพอใจแล้วก็ไปทิ้งไว้ข้างทาง
ส่วนหัว ผลจากการชันสูตรรายงานว่า
".... กะโหลกไม่มีรอยแตกหรือบุบสลาย แม้จะมีรอยช้ำที่คอแต่ไม่ใช้สาเหตุการตาย..และสาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากถูก ตัดแยกร่าง แต่เธอตายเพราะอาการเลือดออกในสมอง

ปริศนา อีกข้อหนึ่งที่ปวดหัวภายหลังคือ ผู้หญิงนิรนามผู้น่าสงสารนี้ถูกข่มขื่นหรือไม่เพราะไม่มีร่องรอยอสุจิที่ศพ แม้แต่น้อยและผู้หญิงนิรนามนี้ไม่สามารถร่วมเพศได้เด็ดขาด เพราะช่องคลอดของเธอตัน! เธอพิการช่องคลอดตั้งแต่กำเนิด

เป็นไปได้หรือไม่ว่าฆาตกรพยายามขื่นใจเธอ แต่มันรู้ที่หลังว่าทำไม่ได้ มันโกรธแค้น เล่นกลับใครไม่เล่น จนลงมือสังหารโหดดังกล่าว

ส่วน เรื่องอุจจาระที่เธอกินเข้าไปนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นของเธอหรือฆาตกร แต่น่าเสียดายนักเพราะถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าเราตรวจหาดีเอ็นเอ เราจะตอบคำถามนี้ไม่ยากเลย และเผลอ ๆ อาจจับคนร้ายได้อยู่หมัดก็ได้

นอก จากนั้นยังมีร่องรอยด้วยว่าฆาตกรลงมือตัดอวัยวะเพศเธอออกไปบางส่วน แต่ข้อมูลการชันสูตรนี้ ตำรวจปิดเป็นความลับสุดยอดเพื่อใช้หาผู้ทำผิดต่อไป และจาก การสอบสวนของตำรวจ ว่าศพหญิงนิรนามนั้นคือใคร จึงได้ส่งรอยนิ้วมือที่ศพส่งไปให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอตรวจหาจากแฟ้ม โดยหวังลึก ๆ ว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง

ห่อของสยองขวัญ
26 มกราคม จู่ๆ สำนักพิมพ์ ลอสแอนเจลีสเอ็กซ์แซมิเมอร์ที่ลงข่าวคดีนี้อย่างเจาะลึกและต่อเนื่อง ได้รับห่อพัสดุปริศนาห่อหนึ่ส่งมาที่นั้น มันเป็นกล่องสีน้ำตาล เหม็นกลิ่นน้ำมันหึ่ง และมีนีตสั้นๆ ที่ไม่ได้เขียนด้วยลายมือและพิมพ์ดีด แต่ใช้ตัดคำมาจากหนังสือพิมพ์แล้วมาแปะใจความว่า

"นี้คือสมบัติส่วนตัวของ ดาห์เลีย และเอกสารที่เป็นเบาะแส"

ทางโรงพิมพ์ต้องรอให้ตำรวจไปเปิดห่อปริศนานี้เองเพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญของคดีนี้ ขืนไปยุ่งกลับมันจะเสียหาย และทำลายหลักฐานเปล่า ๆ

แน่ล่ะ! ทุกคนชะเง้อชะแง้ด้วยความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น และแล้วตำรวจตำรวจก็เปิดห่อเหม็นน้ำมันนั้น หยิบสิ่งของออกมาที่ละอย่าง ๆ

ภาย ในกล่องมีหลักฐานส่วนตัวของเบธจริง ๆ รวมทั้งบัตรประกันสังคม สูติบัตร และตั๋วที่เธอไปแสดงเพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ในลอสแอนเจลีสนั้นด้วย

นอกจากนี้ ตำรวจได้หยิบเอาไดอารี่เล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นไดอารี่ของปี ค.ศ. 1937 และ เขียนชื่อไว้ว่า มาร์ค เอ็น เฮนเซ่น บนหน้าปก แต่ปรากฏว่า เบธ เอามาใช้เป็นสมุดจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของเหล่าผู้ชายหนุ่มที่เคยออกเดตด้วยล้วนๆ ยาวเป็นหางว่าวเชียวล่ะ รายชื่อพวกนี้

สิ่ง ที่น่าสังเกตคือ ทุกอย่างที่อยู่ในห่อนี้ ส่วนใหญ่ถูกเช็ดด้วยน้ำมันเบนซิน เพื่อให้ลบรอยนิ้วมือของตัวเองออกไม่ให้อยู่เป็นหลักฐานให้ตำรวจตามเจอตัว เขาได้ภายหลัง

เชื่อ เลย ชายที่ส่งสมบัติที่เบธนำติดตัวไปขณะเดินออกจากโรงแรมบิลท์มอร์ ในค่ำคืนแห่งซะตากรรมของเธอไปที่สำนักพิมพ์ ไม่ใช้ใครอื่นไปได้เลย นอกจากคนที่ทำทารุณกรรม ทรมาน และสังหารเธออย่างโหดเกรียม!

อย่างไรก็ตาม แม้ ผู้ส่งจะพยายามเอาเบนซิลล้างเช็ดลายนื้วมือออกไม่เหลือเหรอ แต่เมื่อข่าวนี้ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ ดันบอกว่า มีรอยนิ้วมือที่เห็นอย่างชัดเจนสมบูรณ์แบบ อย่างน้อย 12 แห่ง อย่างน้อยถึง 12 รอย อยู่บนห่อพัสดุนั้น...เอาล่ะสิ!

แต่ ที่จริงแล้ว หนังสือพิมพ์เขียนเวอร์เกินไป รอยนิ้วมือที่ไหนล่ะ มันเป็นแค่รอยเลอะๆ ที่มองไม่ออก ไม่ได้เรื่องได้ราวคืบหน้าเยิบใกล้ตัวฆาตกรเลยสัก นิด

credit : http://writer.dek-d.com/cammy/story/view.php?id=205702

มีรูปมากกว่านี้ แต่ไม่อยากลง เพราะเกรงว่าจะไม่ให้เกีรยติเธอ

....................ขอให้เธอไปสู่สุขคติค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1

ลงชื่อไว้ก่อนละกัน เดวพรุ่งนี้มาอ่าน เหอๆๆ

ความคิดเห็นที่ 2

อ่านจบแล้ว โหดมากเลยอะ

ความคิดเห็นที่ 3

เคยดูเป็นหนังแล้วยัง งงๆ

ความคิดเห็นที่ 4

ตอนเป็นหนัง งงมากเหมือนกัน ตัวหนังเอาเรื่องราวชีวิตของสองตำรวจหนุ่มมาบรรยายมากซะ จนไม่เห็นความชัดเจนในการนำเสนอ ผู้ดูเองไม่เข้าใจว่า จำเป็นที่เราต้องรู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของตำรวจหนุ่มมากมายขนาดนั้นเลยหรือ? หรืออาจเป็นเพราะว่าไม่มีใครรู้สาเหตุที่เธอตายจริงๆก็เป็นได้นะ หนังก็เลยออกมาแบบพะอืดพะอม งงงวย แบบนั้น

ด้านล่างภาพในภาพยนตร์ ไม่ใช่เรื่องจริง
Mia Kirshner รับบท Elizabeth Short

ความคิดเห็นที่ 5

ภาพจากแฟ้มของตำรวจครับ ดูแล้วหดหู่จริงๆ

http://poetry.rotten.com/black-dahlia/

ความคิดเห็นที่ 6

อื้มๆ หันครึ่งเรยอ่า น่ากัวๆ

ความคิดเห็นที่ 7

ตามไปชมลิ้งค์แล้วค่ะ เธอสวยมากทีเดียว น่าสงสารจังเลย

ความคิดเห็นที่ 8

สรุปจับฆาตกรไม่ได้หรอคะ น่าสงสารจัง

ความคิดเห็นที่ 9

ดูรูปแล้วขอบอกว่าคนทำ โหดมากๆ


Function Used time : 0:0:0:140