โจรเริ่มเกิดอาการจิตตก เขาแบกหุ่นเยซูคริสต์ไปที่โบสถ์แห่งหนึ่งเพื่อถวายมันมอบแด่พระสันตะปาปา แต่ปรากฏว่า ดันไปเจอพระสันตะปาปากำลังนอนกกหุ่นพระเยซูคริสต์อีกตนเข้าพอดี พระสันตะปาปาโกรธจัดไล่โจรและสาวกสาวๆในชุดวาบหวิวให้ออกไปจากโบสถ์ โจรและกลุ่มสาวกจึงเดินทางไปยังชานเมืองแทน นำรูปปั้นพระเยซูคริสต์มัดขาห้อยกับลูกโป่ง(ให้ศีรษะของท่านทิ้งดิ่งลงพื้น) แล้วก็ปล่อยมือ ภาพที่เห็นคือลูกโป่งสีฟ้า และลูกโป่งสีแดง จำนวนนับได้เป็นร้อยลูก กำลังนำพาหุ่นพระเยซูคริสต์ ลอยล่องขึ้นไปบนฟ้าอย่างเชื่องช้า….
ภายในเมือง ตอนนี้เองที่ชาวเมืองทั้งหลายเริ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็เห็นพระเยซูคริสต์กำลังลอยอยู่ ขณะเดียวกันโจรก็วิ่งมากลางเมืองพอดี สมอเหล็กขนาดใหญ่ถูกทิ้งดิ่งลงมาจากยอดของตึกหลังหนึ่ง โจรยิ้ม แล้ววิ่งไปขี่สมอเหล็กเพื่อบินขึ้นไปยังยอดตึกปริศนา ซึ่ง….บนยอดตึกเราเห็นรูขนาดใหญ่ มีผ้าขาวกั้นไว้ตรงกลาง โจรเริ่มสงสัยว่ามีอะไรซ่อนไว้ข้างใน เขาจึงเริ่มใช้มีดเจาะมันออก แล้วก็กระโดดเข้าไปจนผ้าขาวผืนนั้นแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็พบว่า….ภาพในรู มีพื้นที่ขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ มันคือ “ห้องสำหรับพักผ่อน” ของใครบางคน
ภายในห้องขนาดใหญ่หลังนั้นมีหญิงสาวผิวสีในชุดเปลือยเปล่า, อูฐตัวใหญ่ตัวหนึ่ง, ชายในชุดขาว, และแพะ 2 ตัวขนาบข้างซ้ายขวา
ชายชุดขาวบอกว่าตนเองเป็นพระอาจารย์ผู้วิเศษ(นักเล่นแร่แปรธาตุ) เรามองเห็นผีร้ายที่กำลังสิงสู่ภายในตัวท่าน โจรไม่เชื่อฟัง จึงเกิดการต่อสู้กัน ปรากฏว่าอาจารย์เป็นฝ่ายชนะ เขาปราบโจรลงได้ พร้อมกับให้สาวก(สาวเปลือยผิวสี)ใช้มีดแทงลงไปที่ต้นคอของโจรเพื่อดึง “ปลาหมึกดำ” อันถือว่าเป็นผีร้ายที่สิงอยู่ภายในตัวของโจรออกมาได้สำเร็จ
แล้วพระอาจารย์ก็พูดกับโจรว่า “เจ้าอยากได้ทองใช่ไหม?” โจรตอบกลับว่า “ใช่”
แล้วพระอาจารย์ก็นำร่างของโจรไปชำระล้างกายร่างในห้องอาบน้ำแห่งหนึ่ง คือห้องที่มีหญิงเปลือย และฮิปโปโปเตมัสลอยอยู่ในอ่างอาบน้ำ หญิงสาวเปลือยใช้ฝ่ามือล้วงเข้าไปภายในรูทวารของโจรจนได้ก้อนขี้ของเขามาก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงนำก้อนขี้ก้อนนั้นไปเก็บไว้ภายในขวดโหลแก้วสวยงาม พระอาจารย์และหญิงสาวเปลือยช่วยกันจับโจรไปขังไว้ภายในอ่างแก้ว(คล้ายที่อบซาวน่า) พระอาจารย์จัดการใส่สมุนไพรนานาชนิดลงไปในห้องอบ แล้วร่ายพระคาถา จนโจรขับพิษออกมาจากร่างกายมากมาย พร้อมๆกับที่ขี้ของเขาที่ถูกเก็บไว้ภายในขวดโหลแก้วเปลี่ยนกลายเป็นทองคำสุกสกาวสวยงาม อาจารย์มอบขี้ซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นทองคำมอบกลับให้โจร ตรงนี้เองที่ทำให้โจรเกิดความเลื่อมใสชายผู้นี้เป็นยิ่ง จนเขาเรียกชายคนนี้กลับไปว่า “พระอาจารย์” อย่างเต็มปากเต็มคำ แล้วจึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์นับแต่บัดนั้น
ที่บ้านบนยอดตึกสีส้มนี้เอง ที่เยซูโจรได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆมากมายจากพระอาจารย์ของเขา โจรฝึกวิชาของพระอาจารย์จนหมดสิ้นแตกฉาน จนอยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์ก็พาโจรไปยังห้องที่อยู่ลึกที่สุดของตึกส้มหลังนี้ เป็นห้องลับวงกลม ที่พื้นสามารถหมุนได้ เช่นเดียวกับกำแพงทุกทิศทางที่สามารถหมุนได้ในตัวของมันเอง บนกำแพงของห้องๆนี้เองที่ปรากฏร่างจำลองของชาย-หญิงจำนวน 7 คนถูกตรึงไว้บนกำแพง แล้วพระอาจารย์ก็พูดว่า “อาหารอันโอชะของผู้หิวโหยนั้น มิได้เป็นของชาวประมง ผู้เป็นอาจารย์ต่างหากที่เสาะแสวงหาสานุศิษย์ของตนเอง เจ้าใคร่รู้ความลับเหล่านี้ แต่คนเรามิอาจบรรลุสิ่งใดใดได้ด้วยตนเอง งานทางด้านสสารจะสำฤทธิ์ผลได้นั้น เจ้าจำต้องใช้มิตรสหายเหล่านี้ด้วย พวกเขาคือโจรเหมือนเจ้า แต่คนละระดับกัน พวกเขาคือผู้ที่ทรงพลังที่สุดบนดาวพระเคราะห์ทั้งหลาย ทั้งนักอุตสาหกรรม และนักการเมือง”
แล้วพระอาจารย์ก็จูงมือโจรให้มารู้จักกับร่างจำลองของชาย-หญิงทั้ง 7 ทีละคนๆ ดังต่อไปนี้….
( 1. ) คนแรก เป็นหนุ่มผมยาวร่างผอมสูง ชื่อ “ฟอน” ผู้ประจำอยู่ดาวศุกร์ หน้าที่หลักของฟอนคือการอุทิศความสุขสบายและความงดงามให้แก่ร่างกายของมนุษย์ เขามีโรงงานผลิตเครื่องนอนที่ใหญ่มาก เขามีคุณพ่อเป็นทั้งผู้ปกครอง, เจ้าของหลัก, และที่ปรึกษาของโรงงาน แม้นคุณพ่อท่านจะเป็นใบ้-หูหนวก-และตาบอด ท่านก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้ฟอนที่ดี เวลาที่พ่อจะตัดสินใจว่าโรงงานผลิตเครื่องนอนของฟอนจะดำเนินการไปในทิศทางใด พ่อจะขอคำปรึกษากับแม่เสมอ ท่านจะเอามือล้วงเข้าไปใต้กระโปรง ล้วงเข้าไปในกางเกงชั้นในของแม่ ถ้า “เยิ้ม” ก็คือตกลง ถ้า “แห้ง” คือปฏิเสธ คนงานหญิงในโรงงานแห่งนี้ทุกคนนอกจากมีหน้าที่ทำงานแล้ว ทุกคนต้องมาเป็นเมียของฟอนด้วย เพราะเราจะร่วมรักกันในเวลาทำงาน ภายในโรงงาน และบนเตียงนอนอันแสนอ่อนนุ่ม โรงงานของเราผลิตร่างกายปลอมเลียนแบบมนุษย์ให้มนุษย์ที่ขาดหายเพียงบางสิ่งบางอย่างได้เริงรื่นกับมัน
( 2. ) คนที่สอง เป็นสาวผมสั้นผิวสี ชื่อ “อิสล่า” เธอประจำอยู่ดาวอังคาร (คนนี้คือเจ้าลัทธิ สาวชุดดำที่จับสาวกสองสาวมาโกนผมตอนหนังเปิดเรื่องนั่นแหล่ะ) อิสล่าเธอคิดว่าเธอเป็นผู้ชาย(มั๊ง) กลางคืนเธอมักที่จะนอนกกสาวๆที่เปลือยกายอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับสุนัขขนปุยอีก 2-3 ตัว ทุกเช้านางจะตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นเสมอ พร้อมกับการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสูท-ผูกเนคไทเท่ห์ๆ กางเกงขายาวรัดรูป พร้อมออกไปเดินชม “ฝูงเลขานุการชาย” (คนเปลือย)ของเธออย่างสนุกสนานทุกเช้า อิสล่ามีโรงงานผลิตอาวุธในทุกรูปแบบ รวมถึงยาบางตัวที่สามารถเปลี่ยนให้มนุษย์เกิดอาการ “คลั่ง-อยากฆ่าคน” เรามีปืนเฉพาะแนวสำหรับใช้ฆ่าในทุกๆศาสนาไม่ว่าจะเป็น อาวุธปืนของชาวพุทธ, อาวุธปืนของชาวยิว, และอาวุธปืนของชาวคริสต์ศาสนิกชน เอาไว้ฆ่ากันไง สนุกดีออก….
( 3. ) คนที่สาม เป็นชายหัวล้าน ชื่อ “เคลน” เขาประจำอยู่ดาวพฤหัสบดี เคลนอาศัยอยู่ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่กับภรรยายังสาว นอกจากนี้เขายังมีชู้รัก(กิ๊กสาวผมหยิก)อัตราค่ามีอะไรด้วยสัปดาห์ละ 1,000 เหรียญเชียวนะ เขาชอบหิ้วเธอมามีอะไรด้วยภายในรถส่วนตัวเป็นประจำ อาชีพของเขาน่ะเหรอ เคลนมีโรงงานศิลปะขนาดใหญ่หลังหนึ่งไว้ในครอบครอง โรงงานของเขาผลิตศิลปะแขนงใหม่ออกขายทุกสัปดาห์ ซึ่งมันคืองานศิลปะที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ “เพศ” เป็นหลัก บางครั้งเคลนชอบทดสอบผลงานศิลปะของเขา โดยการนอน แล้วลืมตาดูแก้มก้นของหญิงสาวที่ดำรงชีวิตอยู่ภายในตู้เหล็กสี่เหลี่ยมอย่างสุขใจ เขาเริ่มใช้ฝ่ามือแทงแก้มก้นทั้งสอง และใช้นิ้วมือแทงเข้าไปในรูทวารของหญิงสาวที่ดำรงชีวิตอยู่ภายในตู้เหล็กสี่เหลี่ยมอย่างเป็นสุข เอ่อ….ลืมบอกไปว่าผลงานศิลปะของเคลนตัวล่าสุดคือ “เครื่องรัก” มันเป็นเครื่องเหล็กทรงกลมคล้ายโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ถ้าคุณเอาแท่งจำลองอวัยวะเพศชายความยาว 2 เมตรมาเสียบเข้าไปภายในรูนะ โยนีจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข จนมันเริ่มหลั่งน้ำเยิ้มๆออกมาจากข้างใน ไม่นาน จะมีลูกที่เกิดออกมาจากโยนีอันนี้แหล่ะ ส่งเสียงร้องคล้ายเด็กทารกอย่างน่าเอ็นดู ใช่….เด็ดทารกเกิดออกมาจากช่องคลอดของแม่ที่เป็น “ช่องคลอดเหล็ก”
( 4. ) คนที่สี่ เป็นผู้หญิง สาวผมแดง ชื่อ “เซล” เธอประจำอยู่ดาวเสาร์ โลกปกติของเซล เธอเป็นเจ้าแม่ผู้ควบคุมคณะละครสัตว์คณะที่ใหญ่ที่สุดภายในเมืองแห่งนี้ เซลชอบเล่นเป็นตัวตลก แต่เมื่อใดก็ตามเธอลบแป้งบนใบหน้าออก ใส่ชุดกระโปรงสวยงาม เธอจะเป็น “เจ้าแม่ผู้ครอบครองโรงงานผลิตของเล่น” ในทันที ที่นี่เป็นโรงงานผลิตของเล่นที่มีทหารในเครื่องแบบติดอาวุธหนักประจำตัวให้การคุ้มครองอย่างแน่นหนาเลยนะ ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก เพราะโรงงานแห่งนี้ คือ “โรงงานผลิตของเล่นสงคราม” ที่จะเอาไว้ให้เด็กๆในเมืองของเราถือไปสังหารอริศัตรู รัฐบาลของประเทศเรา(เม็กซิโก)เป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงงานผลิตของเล่นสงครามแห่งนี้ เรามีเครือข่ายข้อมูลที่สามารถพยากรณ์ผลได้ว่า ในอนาคตรัฐบาลของประเทศเราจะไปทำสงครามกับใครบ้าง อาทิ ข้อมูลล่าสุดอีก 15 ปีต่อไป เม็กซิโกจะรบกับเปรู ทางเรา และโรงงานของเราก็จะไปหาเด็กๆมาทำการล้างสมองด้วยเครื่องมือล้างสมองชนิดพิเศษ เราจะล้างสมองเด็กๆของเราด้วยหนังสือการ์ตูน เราจะมีอาวุธของเล่นที่สามารถฆ่าคนได้จริงๆให้เด็กๆได้ใช้เล่นกัน แน่นอน….เด็กๆเหล่านี้จะถูกปลูกฝังให้เกลียดประเทศเปรู เมื่อถึงเวลาสงคราม เราจะส่งเด็กๆเหล่านี้ออกรบ เด็กๆของเราจะออกไปฆ่าพวกเปรูจนหมดประเทศ
( 5. ) คนที่ห้า เป็นชายสวมชุดแดงที่ชอบนอนอยู่บนเตียงนอนอันแสนอ่อนนุ่ม เขาชื่อ “เบิร์ด” เขาเป็นนักส่งรายงาน ปกติเบิร์ดจะชอบมีอะไรกับสาวรุ่นแม่ที่ชอบเลี้ยงงูหลามภายในห้องนอนของเขาเป็นประจำ ผู้หญิงคนนี้จะเริ่มเปลือยกายเพื่อให้ม้าลายที่ถูกเลี้ยงไว้ภายในห้องนอนเลียตรงบริเวณ “ของลับ” จนเธอเริ่มเกิดอาการล่องลอย เบิร์ดจะเริ่มมีอารมณ์ แล้วคนทั้งคู่ก็จะจูงมือกันขึ้นสู่สรวงสวรรค์ร่วมกัน พูดถึงเรื่องที่เบิร์ดเป็น “นักส่งรายงาน” เสียหน่อย เบิร์ดเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแก่ท่านประธานาธิบดีของประเทศเรา ครั้งหนึ่งเบิร์ดไปส่งรายงานแก่ท่านประธานาธิบดีว่า “เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ เราต้องสังหารพลเรือนจำนวน 4 ล้านคนทิ้งภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า” ปรากฏท่านประธานาธิบดีก็เห็นชอบด้วย จึงยกหูโทรศัพท์พร้อมสั่งการออกไปว่า “เริ่มปฏิบัติการห้องรมแก๊สได้ ให้รมแก๊สในโรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ห้องสมุด, พิพิธภัณฑ์, โรงมหรสพ, และบ้านเรือนทุกหลัง” แน่นอนว่าไม่นาน ประชาชนจำนวน 4 ล้านคนต้องตายเพราะการส่งรายงานของเขา เบิร์ดและภรรยาของเขาไม่ได้รู้สึกสนใจในเรื่องดังกล่าวสักเท่าไหร่ เขายังคงได้รับการปกป้องจากกลุ่มทหารติดอาวุธหนักในสภาพเปลือยกาย ที่ท่านประธานาธิบดีส่งมาคุ้มครองอยู่เหมือนเดิม ใช่….เบิร์ดกำลังทานเค้กอย่างมีความสุขกับภรรยาของเขาภายใต้การปกป้องจากใต้วงปีกของท่านผู้ยิ่งใหญ่คับประเทศ
( 6. ) คนที่หก เป็นชายร่างยักษ์ ผมชี้โด่ ชื่อ “แอ็กซอน” อยู่ดาวเนปจูน เขาเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เขาชอบจับตำรวจรุ่นใหม่ๆมาทำการล้างสมองเพื่อให้รับใช้เขาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ตำรวจใหม่จะถูกส่งมายังลานพิธีกรรม ตำรวจใหม่จะถูกจับแก้ผ้าเปลือยกายล่อนจ้อน ใช้มือถูไถจนอวัยวะเพศชายแข็งตัวตั้งชี้โด่ จากนั้นแอ็กซอนจะใช้กรรไกรตัดลูกอัณฑะของนายตำรวจหนุ่มออกมา แล้วเอาไปดองน้ำยาในขวดแก้วใส นำไปเก็บไว้ภายในอาคารศักดิ์สิทธิ์ของกรมตำรวจ ที่ซึ่งเป็นสถานที่เก็บขวดใส่ลูกอัณฑะทั้ง 1,000 ลูก เพื่อให้ตำรวจทุกนายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของแอ็กซอนจงรักภักดีและศรัทธาในตัวเขา ที่นี่คือรัฐตำรวจ ตำรวจที่มีตราสัญลักษณ์ คือตำรวจที่ไร้อัณฑะ ประชาชนที่ต่อต้านเขาจะถูกฆ่าตายอย่างหมูอย่างหมา นกแห่งเสรีภาพ(นกพิราบขาว)จะถูกตำรวจชั่วไร้อัณฑะล้วงออกมาจากหัวใจของประชาชน ใช่…ณ สถานที่แห่งนี้หมดสิ้นอิสรภาพ! ตำรวจทุกนายจะพร้อมกู่ก้องตะโกนออกมาว่า…. “เพราะแอ็กซอนมีพลานุภาพ เหนือกว่าดวงประทีปทั้งปวง”
( 7. ) คนที่เจ็ด เป็นชายเคราดก ชื่อ “ลูธ” อยู่ดาวพลูโต เขามักเลี้ยงฝูงหนูดำเอาไว้ภายในบ้านหลังใหญ่เป็นปกติ ลูธเป็นนักจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองแห่งนี้ เขาควบคุมประชากร, คนพิการ, คนที่ต่อต้าน โดยเทคนิคการจัดการที่ยิ่งใหญ่ คนที่ไม่พอใจ ต่อต้านเขา จะต้องถูกกำจัดออกไปจนหมด ใช่…. พวกคุณโปรดฟังที่ผมพูด เราจะสร้างนครแห่งเสรีภาพสำหรับทุกคน แต่หมายถึงเสรีภาพที่กูควบคุมพวกมึงได้นะ 555+
จากคุณ : samara17520
เขียนเมื่อ : 16 Oct 18 01:24
|
|
จากคุณ : samara17520
เขียนเมื่อ : 16 Oct 18 01:24
|
|
แม้นมันจะดูคล้ายโลกนี้บิดเบี้ยว จริงหรือหลอก มายาหรือเรื่องจริงอย่างงุนงงสงสัยเป็นยิ่ง แต่พระอาจารย์ก็สามารถนำพาทีมทั้งหมดฝ่ามายามรณะเข้ามายัง “พื้นที่สุดท้าย” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
วินาทีนี้เองที่พระอาจารย์และทีมมองเห็นเนินเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงเบื้องหน้าอย่างชัดเจน พวกเขาแอบมองเห็นผู้อำมตะทั้ง 9 กำลังนั่งประชุมอยู่บนเนินเขาลูกนี้อย่างเงียบๆ พระอาจารย์จึงพูดว่า “ขอให้พวกเราเข้าญาณอยู่ตรงนี้ก่อนสัก 3 ชั่วโมง พอญาณแข็งแล้ว ค่อยขึ้นไปเล่นงานพวกมัน”
ระหว่างที่กำลังเข้าญาณนั้นเอง พระอาจารย์ก็จะทำการทดสอบจิตใจของลูกศิษย์อีก 2 คนว่า พร้อมที่จะขึ้นไปลุยกับผู้อำมตะทั้ง 9 แล้วหรือไม่ ด้วยการเอาดาบยักษ์มาให้ลูกศิษย์ฟันศีรษะของพระอาจารย์(แต่พอฟันเสร็จกลับกลายเป็นว่าฟันแพะรับบาปแทน) ส่วนลูกศิษย์อีกคนก็ถูกทดสอบด้วยการให้สาวคนรักมานำพา(ในนิมิต)ว่า กลับบ้านเถอะที่รัก อย่าขึ้นไปเลยเนินเขาศักดิ์สิทธิ์ (ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ทุกคนจะผ่านด่านการทดสอบของพระอาจารย์ไปได้) ซึ่งภาพสุดท้ายที่ตัดกลับมาก็คือ “ภาพแห่งความจริง” ที่พระอาจารย์และทีมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มองขึ้นไปข้างบน ตรงเบื้องหน้า คือ เนินสูงสุดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ใช่….วินาทีนี้เองที่ทุกคนพร้อมใจกันวิ่ง ทีมพยายามวิ่งขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม (ระหว่างวิ่งขึ้นไปนี้เองที่ตัวของพระอาจารย์กลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในอากาศธาตุ)
แม้นจะเป็นห่วงพระอาจารย์ แต่ในเมื่อสิ่งที่เฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิตอยู่ตรงเบื้องหน้า ทุกคนจึงขอวิ่งเข้าไปเล่นงานผู้อำมตะทั้ง 9 เสียก่อน….
จู่ๆ….หนึ่งในผู้อมตะก็เปิดหน้ากากออกมาคล้ายกับมันล่วงรู้ล่วงหน้าว่ามีศริศัตรูหมายเข้ามาทำร้ายพวกมันอยู่ก่อนแล้ว
ปรากฏว่าคนที่เปิดหน้ากากออกมา เขาคือ…. “พระอาจารย์” หัวหน้าทีมของคนทั้ง 8 ที่หายตัวไปนั่นเอง แล้วทุกคนก็พบว่า ผู้อำมตะที่เหลืออีก 8 ตนเป็นเพียงหุ่นกระบอกไม้เท่านั้น พระอาจารย์ตบมือให้กับความพยายามของลูกศิษย์ ทีม และทุกคน พระอาจารย์หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า…. “ข้าสัญญาจะเผยความลับให้แก่พวกท่าน และไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน นี่คือจุดสุดท้ายของการผจญภัยในครั้งนี้ ไม่มีสิ่งใดศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น เรามาที่นี่เพื่อค้นหาความลับแห่งความเป็นอมตะเช่นเดียวกับพระเจ้า เราได้มาอยู่ที่นี่แล้วมนุษย์ทั้งหลาย มีความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะหรอก มีแต่ความเป็นจริงเท่านั้น เราเริ่มต้นจากความไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเราก็มีชีวิตจิตใจขึ้นมา แต่….ชีวิตเช่นนี้เป็นจริงหรือไม่? ไม่….เพราะนี่คือภาพยนตร์”
แล้วพระอาจารย์ก็ชูมือบอกให้ทีมถ่ายทำภาพยนตร์ว่า “เอ้า….กล้องซูมออก” (ตรงนี้ ฉากนี้เองเราจะเห็นว่ากองถ่ายหนังของ Director: Alejandro Jodorowsky กำลังทำงานถ่ายหนังเรื่อง The Holy Mountain / 1973 กันอยู่)
พระอาจารย์พูดต่อว่า “เราจินตนาการ, ฝัน, ถ่ายภาพ แต่เราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นักโทษทั้งหลาย เราต้องทำลายภาพลวงตาเช่นนี้ นี่คือภาพมายา!” แล้วพระอาจารย์และลูกศิษย์(ทีม)ทุกคนก็ช่วยกันจับโต๊ะประชุมทำการคว่ำทิ้งซะ
คำพูดสุดท้ายของพระอาจารย์ “ลาก่อน หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตจริงนั้นรอเราอยู่….”
****** ภาคสรุป (แบบสั้นที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด) : โดยผู้เขียน หนังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกของหนัง คือ โลก มายาคติ อันปรากฏมนุษย์ผู้มีกิเลสหนา บาป และความเลวทรามต่ำช้า ส่วนที่สองของหนัง คือ การพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดเพื่อละซึ่งกิเลสทั้งปวง ส่วนสุดท้ายของหนัง คือ สัจธรรม (Truth) หรือความจริงอันวิเศษ คือ เป็นจริงอยู่อย่างนั้น เป็นจริงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครจะสามารถไปแก้ไขมันได้
จากคุณ : samara17520
เขียนเมื่อ : 16 Oct 18 01:25
|
|
****** ภาคสรุป (แบบสั้นที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด) : โดยผู้เขียน (โมเดลตัวเเก้ไข)
หนังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกของหนัง คือ โลก มายาคติ อันปรากฏมนุษย์ผู้มีกิเลสหนา บาป และความเลวทรามต่ำช้า ส่วนที่สองของหนัง คือ การพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดเพื่อละซึ่งกิเลสทั้งปวง ส่วนสุดท้ายของหนัง คือ สัจธรรม (Truth) หรือความจริงอันวิเศษ คือ เป็นจริงอยู่อย่างนั้น เป็นจริงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครจะสามารถไปแก้ไขมันได้
* (โมเดลสรุป #โมเดลตัวเเก้ไข : กรอบแนวคิดการปกครอง(มายาคติ)-ไปสู่การอยากเปลี่ยนแปลง(การเป็นผู้รอบรู้)-เพื่อค้นหา "Truth" ใน The Holy Mountain / อันนี้เขียนเอาตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง )
* (โมเดลสรุป : กรอบแนวคิดการปกครอง(มายาคติ)-ไปสู่การอยากเปลี่ยนแปลง(การเป็นผู้รอบรู้)-เพื่อค้นหา "Truth" ใน The Holy Mountain / อันนี้เขียนเอาตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง )
จากคุณ : samara17520
เขียนเมื่อ : 16 Oct 18 16:50 แก้ไขเมื่อ : 16 Oct 18 17:32
|
|
จากคุณ : samara17520
เขียนเมื่อ : 16 Oct 18 17:28 แก้ไขเมื่อ : 16 Oct 18 17:31
|
|
เพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้สปอยของท่านนี่ผมดูยังไงก็งง จับทางไม่ถูกว่าหนังสื่ออะไร ขอบคุณมากเลยนะครับ
จากคุณ : psgroup20
เขียนเมื่อ : 26 Apr 20 12:14
|
|